หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564

บทสวดเจริญพระพุทธมนต์พระปริตร

 บทสวดเจริญพระพุทธมนต์พระปริตร  


ด้วยบทสวดรัตนปริตร เป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้า

มอบให้พระอานนท์นำสวด เมื่อครั้งเกิดเหตุในเมืองไวสาลี (เวสาลี) 

เกิดโรคระบาด เพื่อช่วยขจัดปัดเป่าภัย

พระพุทธองค์ทรงให้คณะสงฆ์ตลอดจนประชาชนร่วมแรงร่วมใจ

สวดพระคาถานี้ เป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืนระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ 

และพระสังฆคุณ ให้เกิดสติ สมาธิ และปัญญา เพื่อให้เมืองไวสาลีรอดพ้น

จากโรคระบาด อีกทั้งเป็นจุดกำเนิดการทำพระพุทธมนต์

เพื่อเป็นพละเป็นขวัญกำลังใจไม่ให้ตื่นตระหนกไปกับภัยพิบัติ 


บทเจริญพระพุทธมนต์แบบธรรมยุติ


                   สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงนำคณะสงฆ์                   ธรรมยุติวัดบวรฯเจริญพระพุทธมนต์..


(บทชุมนุมเทวดา..เสียงดร. พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ ..อนิลมาน ธมฺมสากิโย)


สะรัชชัง สะเสนัง สะพันธุง นะรินทัง ปะริตตานุภาโว สะทา รักขะตูติ

ผะริตวานะ เมตตัง สะเมตตา ภะทันตา, อะวิกขิตตะจิตตา ปะริตตัง ภะณันตุ,

สัคเค กาเม จะ รูเป คิริสิขะระตะเฏ, จันตะลิกเข วิมาเน,

ทีเป รัฏเฐ จะ คาเม ตะรุวะนะคะหะเน, เคหะวัตถุมหิ เขต เต,

ภุมมา จายันตุ เทวา ชะละถะละวิสะเม, ยักขะคันธัพพะนาคา,

ติฏฐันตา สันติเก ยัง มุนิวะระวะจะนัง, สาธะโว เม สุณันตุ ฯ

           พุทธัสสะนะกาโล อะยัมภะทันตา,

           ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา,

           สังฆะปะยิรุปาสะนะกาโล อะยัมภะทัน..ตาฯ


(เสียงสมเด็จพระสังฆราช..หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส)


นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ


(เสียงสมเด็จพระสังฆราช..หันทะ มะยัง สะระณะคะมะนะปาฐัง ภะณามะ เส)


พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ

สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ

ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ฯ


(เสียงสมเด็จพระสังฆราช..หันทะ มะยัง สัจจะกิริยาคาถาโย ภะณามะเส)


นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถี เต โหนตุ สัพพะทา

นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถี เต โหนตุ สัพพะทา

นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง สังโฆ เม สะระณัง วะรัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถี เต โหนตุ สัพพะทา


(เสียงสมเด็จพระสังฆราช..หันทะ มะยัง มหาการุณิกะคาถาโย ภะณามะเส)


มะหาการุณิโก นาโถ อัตถายะ สัพพะปาณินัง

ปูเรตะวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง

เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ มา โหนตุ สัพพุปัททะวา

มะหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง

ปูเรตะวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง

เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ มา โหนตุ สัพพุปัททะวา

มะหาการุณิโก นาโถ สุขายะ สัพพะปาณินัง

ปูเรตะวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง

เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ มา โหนตุ สัพพุปัททะวา ฯ


(เสียงสมเด็จพระสังฆราช..หันทะ มะยัง นะโมการัฎฐกคาถาโย ภะณามะเส)


นะโม อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ มะเหสิโน

นะโม อุตตะมะธัมมัสสะ สะวากขาตัสเสวะ เตนิธะ

นะโม มะหาสังฆัสสาปิ วิสุทธะสีละทิฏฐิโน

นะโม โอมาตะยารัทธัสสะ ระตะนัตตะยัสสะ สาธุกัง

นะโม โอมะกาตีตัสสะ ตัสสะ วัตถุตตะยัสสะปิ

นะโม การัปปะภาเวนะ วิคัจฉันตุ อุปัททะวา

นะโม การานุภาเวนะ สุวัตถิ โหตุ สัพพะทา

นะโม การัสสะ เตเชนะ วิธิมหิ โหมิ เตชะวา ฯ


(เสียงสมเด็จพระสังฆราช..หันทะ มะยัง นะมะการะสิทธิคาถาโย ภะณามะเส)


โย จักขุมา โมหะมะลาปะกัฏโฐ สามัง วะ พุทโธ สุคะโต วิมุตโต

มารัสสะ ปาสา วินิโมจะยันโต ปาเปสิ เขมัง ชะนะตัง วิเนยยัง ฯ

พุทธัง วะรันตัง สิระสา นะมามิ โลกัสสะ นาถัญจะ วินายะกัญจะ

ตันเตชะสา เต ชะยะสิทธิ โหตุ สัพพันตะรายา จะ วินาสะเมนตุ ฯ

ธัมโม ธะโช โย วิยะ ตัสสะ สัตถุ ทัสเสสิ โลกัสสะ วิสุทธิมัคคัง

นิยยานิโก ธัมมะธะรัสสะ ธารี สาตาวะโห สันติกะโร สุจิณโณ ฯ

ธัมมัง วะรันตัง สิระสา นะมามิ โมหัปปะทาลัง อุปะสันตะทาหัง

ตันเตชะสา เต ชะยะสิทธิ โหตุ สัพพันตะรายา จะ วินาสะเมนตุ ฯ

สัทธัมมะเสนา สุคะตานุโค โย โลกัสสะ ปาปูปะกิเลสะเชตา

สันโต สะยัง สันตินิโยชะโก จะ สะวากขาตะธัมมัง วิทิตัง กะโรติ ฯ

สังฆัง วะรันตัง สิระสา นะมามิ พุทธานุพุทธัง สะมะสีละทิฏฐิง

ตันเตชะสา เต ชะยะสิทธิ โหตุ สัพพันตะรายา จะ วินาสะเมนตุ ฯ


(เสียงสมเด็จพระสังฆราช..หันทะ มะยัง มังคะละสุตตังคาถาโย ภะณามะเส)


พะหู เทวา มะนุสสา จะ มังคะลานิ อะจินตะยุง

อากังขะมานา โสตถานัง พรูหิ มังคะละมุตตะมัง ฯ

อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา

ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ

ปะฏิรูปะเทสะวาโส จะ ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา

อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ

พาหุสัจจัญจะ สิปปัญจะ วินะโย จะ สุสิกขิโต

สุภาสิตา จะ ยา วาจา เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ

มาตาปิตุอุปัฏฐานัง ปุตตะทารัสสะ สังคะโห

อะนากุลา จะ กัมมันตา เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ

ทานัญจะ ธัมมะจะริยา จะ ญาตะกานัญจะ สังคะโห

อะนะวัชชานิ กัมมานิ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ

อาระตี วิระตี ปาปา มัชชะปานา จะ สัญญะโม

อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ

คาระโว จะ นิวาโต จะ สันตุฏฐี จะ กะตัญญุตา

กาเลนะ ธัมมัสสะวะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ

ขันตี จะ โสวะจัสสะตา สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง

กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ

ตะโป จะ พรัหมะจะริยัญจะ อะริยะสัจจานะ ทัสสะนัง

นิพพานะสัจฉิกิริยา จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ

ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ

อะโสกัง วิระชัง เขมัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ

เอตาทิสานิ กัตวานะ สัพพัตถะมะปะราชิตา

สัพพัตถะ โสตถิง คัจฉันติ ตันเตสัง มังคะละมุตตะมันติ ฯ


(บทรตนสูตร)

ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข

สัพเพ วะ ภูตา สุมะนา ภะวันตุ อะโถปิ สักกัจจะ สุณันตุ ภาสิตัง

ตัสสะมา หิ ภูตา นิสาเมถะ สัพเพ เมตตัง กะโรถะ มานุสิยา ปะชายะ

ทิวา จะ รัตโต จะ หะรันติ เย พะลิง ตัสสะมา หิ เน รักขะถะ อัปปะมัตตา ฯ

ยังกิญจิ วิตตัง อิธะ วา หุรัง วา สัคเคสุ วา ยัง ระตะนัง ปะณีตัง

นะ โน สะมัง อัตถิ ตะถาคะเตนะ อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง

เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

ขะยัง วิราคัง อะมะตัง ปะณีตัง ยะทัชฌะคา สักกะยะมุนี สะมาหิโต

นะ เตนะ ธัมเมนะ สะมัตถิ กิญจิ อิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง

เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

ยัมพุทธะเสฏโฐ ปะริวัณณะยี สุจิง สะมาธิมานันตะริกัญญะมาหุ

สะมาธินา เตนะ สะโม นะ วิชชะติ อิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง

เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

เย ปุคคะลา อัฏฐะ สะตัง ปะสัฏฐา จัตตาริ เอตานิ ยุคานิ โหนติ

เต ทักขิเณยยา สุคะตัสสะ สาวะกา เอเตสุ ทินนานิ มะหัปผะลานิ

อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

เย สุปปะยุตตา มะนะสา ทัฬเหนะ นิกกามิโน โคตะมะสาสะนัมหิ

เต ปัตติปัตตา อะมะตัง วิคัยหะ ลัทธา มุธา นิพพุติง ภุญชะมานา

อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

ยะถินทะขีโล ปะฐะวิง สิโต สิยา จะตุพภิ วาเตภิ อะสัมปะกัมปิโย

ตะถูปะมัง สัปปุริสัง วะทามิ โย อะริยะสัจจานิ อะเวจจะ ปัสสะติ

อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

เย อะริยะสัจจานิ วิภาวะยันติ คัมภีระปัญเญนะ สุเทสิตานิ

กิญจาปิ เต โหนติ ภุสัปปะมัตตา นะ เต ภะวัง อัฏฐะมะมาทิยันติ

อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

สะหาวัสสะ ทัสสะนะสัมปะทายะ ตะยัสสุ ธัมมา ชะหิตา ภะวันติ

สักกายะทิฏฐิ วิจิกิจฉิตัญจะ สีลัพพะตัง วาปิ ยะทัตถิ กิญจิ

จะตูหะปาเยหิ จะ วิปปะมุตโต ฉะ จาภิฐานานิ อะภัพโพ กาตุง

อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

กิญจาปิ โส กัมมัง กะโรติ ปาปะกัง กาเยนะ วาจายุทะ เจตะสา วา

อะภัพโพ โส ตัสสะ ปะฏิจฉะทายะ อะภัพพะตา ทิฏฐะปะทัสสะ วุตตา

อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

วะนัปปะคุมเพ ยะถา ผุสสิตัคเค คิมหานะมาเส ปะฐะมัสสะมิง คิมเห

ตะถูปะมัง ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ นิพพานะคามิง ปะระมัง หิตายะ

อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

วะโร วะรัญญู วะระโท วะราหะโร อะนุตตะโร ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ

อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

ขีณัง ปุราณัง นะวัง นัตถิ สัมภะวัง วิรัตตะจิตตายะติเก ภะวัสสะมิง

เต ขีณะพีชา อะวิรุฬหิฉันทา นิพพันติ ธีรา ยะถายัมปะธีโป

อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข

ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง พุทธัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข

ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง ธัมมัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข

ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง สังฆัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โห..ตุ ฯ


(เสียงสมเด็จพระสังฆราช..หันทะ มะยัง โพชฌังคะคาถาโย ภะณามะ เส )


โพชฌังโค สะติสังขาโต ธัมมานัง วิจะโย ตะถา

วิริยัมปีติปัสสัทธิ โพชฌังคา จะ ตะถาปะเร

สะมาธุเปกขะโพชฌังคา สัตเต เต สัพพะทัสสินา

มุนินา สัมมะทักขาตา ภาวิตา พะหุลีกะตา

สังวัตตันติ อะภิญญายะ นิพพานายะ จะ โพธิยา

เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา ฯ

เอกัสสะมิง สะมะเย นาโถ โมคคัลลานัญจะ กัสสะปัง

คิลาเน ทุกขิเต ทิสสะวา โพชฌังเค สัตตะ เทสะยิ

เต จะ ตัง อะภินันทิตตะวา โรคา มุจจิงสุ ตังขะเณ

เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา ฯ

เอกะทา ธัมมะราชาปิ เคลัญเญนาภิปีฬิโต

จุนทัตเถเรนะ ตัญเญวะ ภะณาเปตะวานะ สาทะรัง

สัมโมทิตตะวา จะ อาพาธา ตัมหา วุฏฐาสิ ฐานะโส

เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา ฯ

ปะหีนา เต จะ อาพาธา ติณณันนัมปิ มะเหสินัง

มัคคาหะตะกิเลสา วะ ปัตตานุปปัตติธัมมะตัง

เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา ฯ


(บทอาฏานาฎิยะปริตร)


วิปัสสิสสะ นะมัตถุ จักขุมันตัสสะ สิรีมะโต

สิขิสสะปิ นะมัตถุ สัพพะภู ตานุกัมปิโน

เวสสะภุสสะ นะมัตถุ นะหาตะกัสสะ ตะปัสสิโน

นะมัตถุ กะกุสันธัสสะ มาระ เสนัปปะมัททิโน

โกนาคะมะนัสสะ นะมัตถุ พราหมะณัสสะ วุสีมะโต

กัสสะปัสสะ นะมัตถุ วิปปะมุตตัสสะ สัพพะธิ

อังคีระสัสสะ นะมัตถุ สักกะยะปุตตัสสะ สิรีมะโต

โย อิมัง ธัมมะมะเทเสสิ สัพพะทุกขาปะนูทะนัง

เย จาปิ นิพพุตาโลเก ยะถาภูตัง วิปัสสิสุง

เต ชะนา อะปิสุณา มะหันตา วีตะ สาระทา

หิตัง เทวะมะนุสสานัง ยัง นะมัสสันติ โคตะมัง

วิชชาจะระณะสัมปันนัง มะหันตัง วีตะสาระทัง ฯ

นะโม เม สัพพะพุทธานัง อุปปันนานัง มะเหสินัง

ตัณหังกะโร มะหาวีโร เมธังกะโร มะหายะโส

สะระณังกะโร โลกะหิโต ทีปังกะโร ชุตินธะโร

โกณฑัญโญ ชะนะปาโมกโข มังคะโล ปุริสาสะโภ

สุมาโน สุมาโน ธีโร เรวะโต ระติวัฑฒะโน

โสภีโต คุณะสัมปันโน อะโนมะทัสสี ชะนุตตะโม

ปะทุโม โลกะปัชโชโต นาระโท วะระสาระถี

ปะทุมุตตะโร สัตตะสาโร สุเมโธ อัปปะฏิปุคคะโล

สุชาโต สัพพะโลกัคโค ปิยะทัสสี นะราสะโภ

อัตถะทัสสี การุณิโก ธัมมะทัสสี ตะโมนุโท

สิทธัตโถ อะสะโม โลเก ติสโส จะ วะทะตัง วะโร

ปุนโน จะ วะระโท พุทโธ วิปัสสี จะ อะนูปะโม

สิขี สัพพะหิโต สัตถา เวสสะภู สุขะทายะโก

กะกุสันโธ สัตถะวาโห โกนาคะมะโน ระณัญชะโห

กัสสะโป สิริสัมปันโน โคตะโม สักกะยะปุงคะโว ฯ

เอเต จัญเญ จะ สัมพุทธา อะเนกะสะตะโกฏะโย

สัพเพ พุทธา อะสะมะสะมา สัพเพ พุทธา มะหิทธิกา

สัพเพ ทะสะพะลูเปตา เวสารัชเชหุปาคะตา

สัพเพ เต ปะฏิชานันติ อาสะภัณฐานะมุตตะมัง

สีหะนาทัง นะทันเตเต ปะริสาสุ วิสาระทา

พรัหมะจักกัง ปะวัตเตนติ โลเก อัปปะฏิวัตติยัง

อุเปตา พุทธะธัมเมหิ อัฏฐาระสะหิ นายะกา

ทะวัตติงสะ ลักขะณูเปตา สีตะยานุพะยัญชะนาธะรา

พะยามัปปะภายะ สุปปะภา สัพเพ เต มุนิกุญชะรา

พุทธา สัพพัญญุโน เอเต สัพเพ ขีณาสะวา ชินา

มะหัปปะภา มะหาเตชา มะหาปัญญา มะหัพพะลา

มะหาการุณิกา ธีรา สัพเพสานัง สุขาวะหา

ทีปา นาถา ปะติฏฐา จะ ตาณา เลณา จะ ปาณินัง

คะตี พันธู มะหัสสาสา สะระณา จะ หิเตสิโน

สะเทวะกัสสะ โลกัสสะ สัพเพ เอเต ปะรายะนา

เตสาหัง สิระสา ปาเท วันทามิ ปุริสุตตะเม

วะจะสา มะนะสา เจวะ วันทาเมเต ตะถาคะเต

สะยะเน อาสะเน ฐาเน คะมะเน จาปิ สัพพะทา

สะทา สุเขนะ รักขันตุ พุทธา สันติกะรา ตุวัง

เตหิ ตะวัง รักขิโต สันโต มุตโต สัพพะภะเยนะ จะ

สัพพะโรคะวินิมุตโต สัพพะสันตา ปะวัชชิโต

สัพพะเวระมะติกกันโต นิพพุโต จะ ตุวัง ภะวะฯ

เตสัง สัจเจนะ สีเลนะ ขันติเมตตาพะเลนะ จะ

เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะฯ

ปุรัตถิมัสมิง ทิสาภาเค สันติ ภูตา มะหิทธิกา

เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ

ทักขิณัสสะมิง ทิสาภาเค สันติ เทวา มะหิทธิกา

เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ

ปัจฉิมัสสะมิง ทิสาภาเค สันติ นาคา มิหิทธิกา

เตหิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ

อุตตะรัสสะมิง ทิสาภาเค สันติ ยักขา มะหิทธิกา

เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ

ปุริมะทิสัง ธะตะรัฏโฐ ทิกขิเณนะ วิรุฬหะโก

ปัจฉิเมนะ วิรูปักโข กุเวโร อุตตะรัง ทิสัง

จัตตาโร เต มะหาราชา โลกะปาลา ยะสัสสิโน

เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรเยนะ สุเขนะ จะ

อากาสัฏฐา จะ ภุมมัฏฐา เทวา นาคา มะหิทธิกา

เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ ฯ

นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง

เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลัง

นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง

เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลัง

นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง สังโฆ เม สะระณังวะรัง

เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลัง ฯ

ยังกิญจิ ระตะนัง โลเก วิชชะติ วิวิธัง ปุถุ

ระตะนัง พุทธะสะมัง นัตถิ ตัสมา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ

ยังกิญจิ ระตะนัง โลเก วิชชะติ วิวิธัง ปุถุ

ระตะนัง ธัมมะสะมัง นัตถิ ตัสสะมา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ

ยังกิญจิ ระตะนัง โลเก วิชชะติ วิวิธัง ปุถุ

ระตะนัง สังฆะสะมัง นัตถิ ตัสสะมา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ

สักกัตตะวา พุทธะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง

หิตัง เทวะมะนุสสานัง พุทธะ เตเชนะ โสตถินา

นัสสันตุ ปัททะวา สัพเพ ทุกขา วูปะสะเมนตุ เต

สักกัตตะวา ธัมมะ ระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง

ปะริฬาหูปะสะมะนัง ธัมมะเตเชนะ โสตถินา

นัสสันตุปัททะวา สัพเพ ภะยา วูปะสะเมนตุ เต

สักกัตตะวา สังฆะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง

อาหุเนยยัง ปาหุเนยยัง สังฆะเตเชนะ โสตถินา

นัสสันตุปัททะวา สัพเพ โรคา วูปะสะเมนตุ เต ฯ

สัพพีติโย วิวัชชันตุ สัพพะโรโค วินัสสะตุ

มา เต ภะวัตวันตะราโย สุขีทีฆายุโก ภะวะ

อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน

จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุวัณโณ สุขัง พะลัง ฯ

สัพเพพุทธา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยัง พะลัง

อะระหันตานัญ จะ เตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส


(บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย)

อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต

โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ.

สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก

โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูฮีติ.

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย

ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ.


(บทพุทธชัยมงคลคาถา..พาหุง)


พาหุงสะหัส สะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ครีเมขะลัง อุทิตะโฆ ระสะเสนะมารัง

ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

มาราติเร กะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง

ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง

เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง

อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

กัตตะวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะยะกายะมัชเฌ

สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกาวาทะเกตุง วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง

ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต

อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง

ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฉฐะคาถา โย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที

หิตตะวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญ..โญ


(บทชัยปริตร..มหากาฯ)

มะหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง

ปูเรตตะวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง

เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลังฯ

ชะยันโต โพธิยา มูเล สักกะยานัง นันทิวัฑฒะโน

เอวัง ตะวัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล

อะปะราชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร

อะภิเสเก สัพพะ พุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติฯ

สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง

สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัมห์มะจาริสุ

ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง

ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง ปะณิธีเต ปะทักขิณา

ปะทักขิณานิ กัตตะวานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิ..เณฯ


โส อัตถะลัทโธ สุขิโต วิรุฬโห พุทธะสาสะเน

อะโรโค สุขิโต โหหิ สะหะ สัพเพหิ ญาติภิ

สา อัตถะลัทธาสุขิตา วิรุฬหา พุทธะสาสะเน

อะโรคา สุขิตา โหหิ สะหะ สัพเพหิ ญาติภิ

เต อัตถะลัทธา สุขิตา วิรุฬหา พุทธะสาสะเน

อะโรคา สุขิตา โหถะ สะหะ สัพเพหิ ญาติภิ ฯ


สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง

สุขะโณ สุมุหุตโตจะ สุยิฏฐัง พรัหมะจารีสุ

ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง

ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง ปะณิธีเต ปะทักขิณา

ปะทักขิณานิ กัตวานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ ฯ


(บทสุมังคลคาถา)

โหตุ สัพพัง สุมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวตา

สัพพะพุทธานุภาเวนะ โสตถี โหนตุ นิรันตะรัง

โหตุ สัพพัง สุมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวตา

สัพพะธัมมานุภาเวนะ โสตถี โหนตุ นิรันตะรัง

โหตุ สัพพัง สุมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวตา

สัพพะสังฆานุภาเวนะ โสตถี โหนตุ นิรัน ตะรังฯ




วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2563

บทสวด สะติปัฏฐานะปาโฐ

 บทสวด สะติปัฏฐานะปาโฐ แปล


อัตถิ โข เตนะ ภะคะวะตา ขานะตา                

หนทางสายนี้ ซึ่งเป็นทางไปสายเอก 

ปัสสะตา อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ         

ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้แจ้งเห็นจริง 

เอกายะโน อะยัง มัคโค                                    

อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ได้ตรัสไว้โดยชอบ

สัตตานัง วิสุทธิยา                                           

เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย

โสกะปะริเทวานัง สะมะติกะมายะ                  

เพื่อก้าวล่วงความโศกและความร่ำไร

ทุกขะโทมะนัสสังนัง อัตถังคะมายะ               

เพื่อความอัศดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส

ญายัสสะ อะธิคะมายะ                                    

เพื่อบรรลุญายธรรม

นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ                              

เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน มีอยู่แล

ยะทิทัง จัตตาโร สติปัฏฐานะ                          

หนทางสายนี้ ก็คือ สติปัฏฐาน ๔

กะตะเม จัตตาโร                                             

สติปัฏฐาน ๔ มีอะไรบ้าง

๑. อิธะ ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ           

ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้พิจารณา

อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา                           

เห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียร

วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง                

เครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ

๒. เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ            

ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้

อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา                             

เธอย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย​อยู่เป็นประจำ

วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง                 

มีความเพียรเครื่องเผากิเลสมีสัมปชัญญะ มีสติ

๓. จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ                       

ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้

อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา                            

เธอย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำมีสัมปชัญญะ มีสติ

วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง                 

ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้

๔.ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ                     

เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่เป็น

อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา                             

ประจำ มีสัมปชัญญะ มีสติ

วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง                 

ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้

๕. กะถัญจะ ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ อัชฌัตตังวา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ          

ภิกษุย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยุ่เป็นประจำอย่างไรเล่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายในกายเป็นภายในบ้าง

พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ          

ย่อมพิจารณาเห็นกายในภายนอกบ้าง

อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ                                                          

ย่อมพิจารณาเห็นกาย ทั้งกายในและภายนอกบ้าง

สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา อายัสมิง วิหะระติ 

ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง

วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสมิง วิหะระติ         

ย่อมพิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมไปในกายบ้าง

สะมุทะยะวะธัมมานุปัสสี วา กายัสมิง วิหะระติ                                                          

ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปในกายบ้าง

อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ                                

ก็หรือว่า ความระลึกว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่

สติปัจจุปัฏฐิตา โหติ                                        

เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น

ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะฏิสะติมัตตายะ 

แค่เพียงสักว่าเป็นทีอาศัยระลึกแค่เพียงสักวาเป็นที่รู้

อะนิสสิโต จะ วิหะระตินะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ                                   

เธอย่อมไม่ติดอยู่และย่อมไม่ยึดมั่นถือมั่นไรๆ ในโลก

เอวัง โข ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ         

ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้แล

๖. กะถัญจะ ภิกขุ เวทะนาสื                             

ก็ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา

เวทะนานุปัสสี วิหะระติ                                 

ทั้งหลายอยู่เนืองๆ อย่างไรเล่า

อิธะ ภิกขุ อัชฌัตตั้ง วา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ                  

ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายเป็นภายในบ้าง

พะหิทธา วา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ                                                          

ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายเป็นภายนอกบ้าง

อัชฌัตตะพะหิทธา วา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ                   

ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาทั้งหลาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง

สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา  เวทะนาสุ วิหะระติ                                                          

ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเกิดขึ้นในเวทนาทั้งหลายบ้าง

วะยะธัมมานุปัสสีวา เวทนาสุ วิหะระติ          

ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเสื่อมไปแห่งเวทนาบ้าง

สุมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา เวทะนาสุ วิหะระติ                      

ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปแห่งเวทนาบ้าง                                         

อัตถิ เวทะนาติ วา ปะนัสสะ สติปัฏจุปัฏฐิตา โหติ                            

ก็หรือความระลึกว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น

ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะฏิสสะติมัตตายะ                             

แค่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แค่เพียงสักว่าเป็นที่อาสัยระลึก

อะนิสสิโต จะ วิหะระติ นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ                                   

เธอย่อมไม่ติดอยู่และย่อมไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรๆ ในโลก

เอวัง โข ภิกขุ เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสิ  วิหะระติ                                                          

ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เนืองๆ อย่างนี้ แล

๗. กะถัญจะ ภิกขุ จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ                                                          

ก็ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆอยู่เป็นอย่างไร

อิธะ ภิกขุ อัชฌัตตัง วา จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ                                                          

ภิกษุโนธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเป็นภายในบ้าง

พะหิทธา วา จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ       

ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเป็นภายนอกบ้าง

อัชฌัตตะพะหิทธา วา จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ                            

ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตทั้งเป็นภายใน ทั้งเป็นภายนอกบ้าง                                     

สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา จิตตัสมิง วิหะระติ            

ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือ ความเกิดขึ้นในจิตบ้าง

วะยะธัมมานุปัสสีวา จิตตัสมิง วิหะระติ         

ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเสื่อมไปในจิตบ้าง

สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา จิตตัสมิง วิหะระติ                                                          

ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในจิตบ้าง

อัตถิ จิตตันติ วา ปะนัสสะ สะติ                      

ก็หรือว่า ความระลึกว่า มีจิตๆ ย่อมปรากฏอยู่

ปัจจุปัฏฐิตา โหติ                                             

เฉพาะหน้าเธอนั่น

ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ                              

เพียงแต่สักรู้ว่า เพียงแต่สักว่า 

ปะฏิสสะติมัตตายะ                                        

เป็นที่อาศัยระลึก

อะนิสสิโต จะ วิหะระติ                                   

เธอย่อมไม่ติดอยู่

นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ                            

และย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก

เอวัง โข ภิกขุ จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ      

ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่เนืองๆ อย่างนี้แล

๘.  กถัญจะ ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี  วิหะระติ                                                          

ก็ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายเนื่องๆ อยู่อย่างไร

อิธะ ภิกขุ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ                        

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นธรรมใน

ธัมมานุปัสสี วิหะระติ                                     

ธรรมทั้งหลาย เป็นภายในบ้าง

พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ     

ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายเป็นภายนอกบ้าง

อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ                                     

ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายทั้ง

ธัมมานุปัสสี วิหะระติ                                    

ภายในทั้งภายนอกบ้าง

สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ    

ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือ ความเกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายบ้าง

วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ                       

ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเสื่อมไปในธรรมทั้งหลายบ้าง

สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ                                                          

ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในธรรมทั้งหลายบ้าง

อัตถิ ธัมมาติ วา ปะนัสสะ สะติ                       

ก็หรือว่า ความระลึกว่า

ปัจจุปัฏฐิตา โหติ                                             

ธรรมทั้งหลายมีอยู่

ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ                              

ย่อมปรากฏอยู่ต่อหน้าเธอ

ปะฏัสสะติมัตตายะ                                         

เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่า

อะนิสสิโต จะ วิหะระติ                                   

เป็นที่อาศัยระลึกเท่านั้น

นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ                            

เธอย่อมไม่ติดอยู่ และย่อมไม่ยึดมั่นถือมั่นสิงไรๆ ในโลก

เอวัง โข ภิกขุ  ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ   

ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายเนืองๆ อยู่อย่างนี้แล

อะยัง โข เตนะ ภะคะวะตา ชานะตา               

หนทางสายนี้แหละ เป็นหนทางสายเอก

ปัสสะตา อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ เอกายะโน มัคโค สัมมะทักขาโต        

ซึ่งพระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้แจ้งเห็นจริง อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตรัสไว้โดยชอบ

สัตตานัง วิสุทธิยา                                           

เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย

โสกะปะริเทวานัง สะมะติกกะมายะ                

เพื่อความก้าวล่วงความเศร้าโศกและความคร่ำครวญพิไรรำพัน

ทุกขะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมายะ                

เพื่อความอัศดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส

ญายัสสะ อะธิคะมายะ นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ                                   

เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง                              

ยะทิทัง จัตตาโร สติปัฏฐานาติ                                    

หนทางที่กล่าวถึงซึ่งเป็นหนทางสายเอกนี้ก็คือ สติปัฏฐาน ๔

เอกายะนัง ชาติขะยันตะทัสสี                          

พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เล็งเห็นพระนิพพาน

มัคคัง ปะชานาติ หิตานุกัมปี                            

ผู้ทรงอนุเคราะห์หมู่สัตว์ด้วยประโยชน์เกื้อกูล

เอเตนะ มัคเคนะ ตะริงสุ ปุพเพ                       

ย่อมทรงรู้แจ้งซึ่งหนทางสายเอก ในอดีต อนาคต

ตะริสสะเร เจวะ ตะรันติ โจฆันติ                    

หรือแม้กระทั่งในปัจจุบัน สัตว์ทั้งหลายล้วนใช้หนทางสายเอกนั้นข้ามห้วงน้ำคือกิเลส



วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2563

บทสวด อนัตตลักขณสูตร

บทสวด อนัตตลักขณสูตร


 อนัตตลักขณสูตร เป็นพระสูตรที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี หรือในเขตเมืองสารนาถ ประเทศอินเดียในปัจจุบันเมื่อพระชนมายุได้ 35 พรรษา

ธัมเมกขสถูป บริเวณป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองสารนาถ คือสังเวชนียสถานแห่งการประกาศธรรมยุคแรกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รวมถึงสถานที่พระประกาศอนัตตลักขณสูตร พระสูตรนี้ โดยทรงแสดงต่อปัญจวัคคีย์ ในวันแรม 5 ค่ำ เดือน 8 หลังจากที่ พระพุทธองค์ได้แสดงปฐมเทศนาคือธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 จนพระอัญญาโกณฑัญญะบรรลุโสดาบัน และในวันต่อ ๆ มา คือในวันแรม 1 ค่ำ 2 ค่ำ 3 ค่ำ และ 4 ค่ำเดือน 8 ทรงแสดง “ปกิณณกเทศนา” ยังผลให้พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ บรรลุโสดาบันตามลำดับ และได้รับเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

บทสวด อนัตตลักขณสูตร เอวัมเม สุตัง เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทะเยฯ ตัต๎ระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ ฯ รูปัง ภิกขะเว อะนัตตา ฯ รูปัญจะหิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ นะยิทัง รูปัง อาพาธายะ สังวัตเตยยะ ลัพเภถะ จะ รูเป เอวัง เม รูปัง โหตุ เอวัง เม รูปัง มา อะโหสีติฯ ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว รูปัง อะนัตตา ตัส๎มา รูปัง อาพาธายะ สังวัตตะติ นะ จะ ลัพภะติ รูเป เอวัง เม รูปัง โหตุ เอวัง เม รูปัง มา อะโหสีติฯ เวทะนา อะนัตตา ฯ เวทะนา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ นะยิทัง เวทะนา อาพาธายะ สังวัตเตยยะ, ลัพเภถะ จะ เวทะนายะ เอวัง เม เวทะนา โหตุ เอวัง เม เวทะนา มา อะโหสีติ ฯ ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว เวทะนา อะนัตตา ตัส๎มา เวทะนา อาพาธายะ สังวัตตะติ นะ จะ ลัพภะติ เวทะนายะ เอวัง เม เวทะนา โหตุ เอวัง เม เวทะนา มา อะโหสีติฯ สัญญา อะนัตตาฯ สัญญา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ นะยิทัง สัญญา อาพาธายะ สังวัตเตยยะ ลัพเภถะ จะ สัญญายะ เอวัง เม สัญญา โหตุ เอวัง เม สัญญา มา อะโหสีติ ฯ ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว สัญญา อะนัตตา ตัส๎มา สัญญา อาพาธายะ สังวัตตะติ นะ จะ ลัพภะติ สัญญายะ เอวัง เม สัญญา โหตุ เอวัง เม สัญญา มา อะโหสีติ ฯ สังขารา อะนัตตาฯ สังขารา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสังสุ นะยิทัง สังขารา อาพาธายะ สังวัตเตยยุง ลัพเภถะ จะ สังขาเรสุ เอวัง เม สังขารา โหนตุ เอวัง เม สังขารา มา อะเหสุนติฯ ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว สังขารา อะนัตตา ตัส๎มา สังขารา อาพาธายะ สังวัตตันติ นะ จะ ลัพภะติ สังขาเรสุ เอวัง เม สังขารา โหนตุ เอวัง เม สังขารา มา อะเหสุนติ ฯ วิญญาณัง อะนัตตาฯ วิญญาณัญจะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ นะยิทัง วิญญาณัง อาพาธายะ สังวัตเตยยะ ลัพเภถะ จะ วิญญาเณ เอวัง เม วิญญาณัง โหตุ เอวัง เม วิญญาณัง มา อะโหสีติฯ ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว วิญญาณัง อะนัตตา ตัส๎มา วิญญาณัง อาพาธายะ สังวัตตะตินะ จะ ลัพภะติ วิญญาเณ เอวัง เม วิญญาณัง โหตุ เอวัง เม วิญญาณัง มา อะโหสีติ ฯ ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว รูปัง นิจจัง วา อะนิจจัง วาติ ฯ อะนิจจัง ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ ฯ ทุกขัง ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตาติ ฯ โน เหตัง ภันเต ฯ ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว เวทะนา นิจจา วา อะนิจจา วาติ ฯ อะนิจจา ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ ฯ ทุกขัง ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตาติ ฯ โน เหตัง ภันเต ฯ ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว สัญญา นิจจา วา อะนิจจา วาติ ฯ อะนิจจา ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ ฯ ทุกขัง ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตาติ ฯ โน เหตัง ภันเต ฯ ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว สังขารา นิจจา วา อะนิจจา วาติ ฯ อะนิจจา ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ ฯ ทุกขัง ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตาติ ฯ โน เหตัง ภันเต ฯ ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว วิญญาณัง นิจจัง วา อะนิจจัง วาติ ฯ อะนิจจัง ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ ฯ ทุกขัง ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เมอัตตาติ ฯ โน เหตัง ภันเต ฯ ตัส๎มาติหะ ภิกขะเว ยังกิญจิ รูปัง อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนัง อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา หีนัง วา ปะณีตัง วา ยันทูเร สันติเก วา สัพพัง รูปัง เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นะ เมโส อัตตาติ ฯ เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง ฯ ยา กาจิ เวทะนา อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนา อัชฌัตตา วา พะหิทธา วา โอฬาริกา วา สุขุมา วา หีนา วา ปะณีตา วา ยา ทูเร สันติเก วา สัพพา เวทะนา เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นะ เมโส อัตตาติ ฯ เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง ฯ ยา กาจิ สัญญา อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนา อัชฌัตตา วา พะหิทธา วา โอฬาริกา วา สุขุมา วา หีนา วา ปะณีตา วา ยา ทูเร สันติเก วา สัพพา สัญญา เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นะ เมโส อัตตาติ ฯ เอวะ เมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง ฯ เย เกจิ สังขารา อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนา อัชฌัตตา วา พะหิทธา วา โอฬาริกา วา สุขุมา วาหีนา วา ปะณีตา วา เย ทูเร สันติเก วา สัพเพ สังขารา เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นะ เมโส อัตตาติ ฯ เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง ฯ ยังกิญจิ วิญญาณัง อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนัง อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา หีนัง วา ปะณีตัง วา ยันทูเร สันติเก วา สัพพัง วิญญาณัง เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นะเมโส อัตตาติ ฯ เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง ฯ เอวัง ปัสสัง ภิกขะเว สุต๎วา อะริยะสาวะโก รูปัส๎มิงปิ นิพพินทะติ เวทะนายะปิ นิพพินนะติ สัญญายะปิ นิพพินทะติ สังขาเรสุปิ นิพพินทะติ วิญญาณัส๎มิงปิ นิพพินทะติ ฯ นิพพินทัง วิรัชชะติ ฯ วิราคา วิมุจจะติ ฯ วิมุตตัส๎มิง วิมุตตะมีติ ญาณัง โหติ ขีณา ชาติ วุสิตัง พ๎รัห๎มะจะริยัง กะตัง กะระณียัง นาปะรัง อิตถัตตายาติ ปะชานาตีติ ฯ อิทะมะโวจะ ภะคะวา ฯ อัตตะมะนา ปัญจะวัคคิยา ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุงฯ อิมัส๎มิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัส๎มิง ภัญญะมาเน ปัญจะวัคคิยานัง ภิกขูนัง อะนุปาทายะ อาสะเวหิ จิตตานิ วิมุจจิงสูติ ฯ


บทสวดพระคาถาอาการวัตตาสูตร

 พระคาถา พระอาการวัตตาสูตร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสถึงบทพระอาการวัตตาสูตรว่า อานิสงส์ดังนี้ พระอาการะวัตตาสูตรนี้ ผู้ใดท่องได้ใช้สวดมนต์ปฏิบัติได้เสมอ มีอานิสงส์มากยิ่งนักหนา แม้ปรารถนา พระพุทธภูมิ พระปัจเจกภูมิ พระอัครสาวกภูมิ พระสาวิกาภูมิ จะปรารถนามนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ ก็ส่งผลให้ได้สำเร็จสมความปรารถนาทั้งนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้เป็นพระพุทธเจ้า มีปัญญามากเพราะเจริญพุทธมนต์บทนี้ ถ้าผู้ใดปฏิบัติได้ เจริญได้ทุกๆวัน จะเห็นผลความสุขเกิดขึ้นเอง ไม่ต้องมีผู้อื่นบอกอานิสงส์ แสดงว่าผู้ที่เจริญพระสูตรนี้ครั้งหนึ่ง จะคุ้มครองภัยอันตราย 30 ประการ ได้ 4 เดือน ( คือภัยอันเกิดแต่ งูพิษ สุนัขป่า สุนัขบ้าน โคบ้าน และโคป่ากระบือบ้าน และกระบือเถื่อนพยัคฆะ หมู เสือ สิงห์และ ภัยอันเกิดแต่คชสารอัสดรพาชี จตุรงคชาติของพระราชาผู้เป็นจอมของนรชนภัยอันเกิดแต่น้ำ และเพลิง เกิดแต่มนุษย์ และอมนุษย์ ภูตผีปิศาจ เกิดแต่อาชญาของแผ่นดิน เกิดแต่ยักษ์กุมภัณฑ์และคนธรรพ์อารักขเทวดา เกิดแต่มาร ๕ ประการที่ผลาญให้วิการต่าง ๆเกิดแต่วิชาธรผู้ทรงคุณวิทยากร และภัยที่จะเกิดแต่มเหศวรเทวราชผู้เป็นใหญ่ในเทวโลกรวมเป็นภัย ๓๐ ประการ) ผู้ใดเจริญพระสูตรนี้อยู่เป็นนิจ บาปกรรมทั้งปวงก็จะไม่ได้ช่องหยั่งลงสู่สันดานเว้นแต ่กรรมเก่าตามมาทันเท่านั้น ผู้ใดอุตสาหะตั้งจิตตั้งใจเล่าเรียน ได้ใช้สวดมนต์ก็ดี บอกเล่าให้ผู้อื่นเลื่อมใสก็ดี เขียนเองก็ดี กระทำสักการะบูชา เคารพนับถือพร้อมทั้ง ไตรทวารก็ดี ผู้นั้นจะปรารถนาสิ่งใดก็จะสำเร็จทุกประการ ท่านผู้มีปรีชาศรัทธาความเลื่อมใส จะกระทำซึ่งอาการะวัตตาสูตร อันจะเป็นที่พักผ่อนพึ่งพาอาศัยในวัฎฎะกันดาร ดุจเกาะแลฝั่งเป็นที่อาศัยแห่งชนทั้งหลายผู้สัญจรไปม าในชลสาครสมุทรทะเลใหญ่ฉะนั้น อาการวัตตาสูตรนี้ พระพุทธเจ้า28 พระองค์ที่ปรินิพพานไปแล้วก็ดี พระตถาคตพุทธเจ้าของเราปัจจุบันนี้ก็ดี มิได้สละละวางทิ้งร้างให้ห่างเลยสักพระองค์เดียว ได้ทรงเจริญรอยตามพระสูตรนี้มาทุกๆพระองค์ จึงมีคุณานุภาพยิ่งใหญ่กว่าสูตรอื่น ไม่มีธรรมอื่นจะเปรียบให้เท่าถึง เป็นธรรมอันระงับได้โดยแท้ ในอนาคตกาล ถ้าบุคคลใดทำปาณาติบาต คือ ปลงชีวิตสัตว์ให้ตกถ่วงไป เป็นวัชชกรรมที่ชักนำให้ไปปฏิสนธิในนรกใหญ่ทั้ง 8 ขุม คือ สัญชีพนรก กาฬสุตตนรก สังฆาฏนรก โรรุวนรก มหาโรรุวนรก ตาปนรก มหาตาปนรก อเวจีนรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉานกำเนิดไซร้ ถ้าได้ท่องบ่นจำจนคล่องก็จะปิดบังห้ามกันไว้ไม่ให้ไป สู่ทุคติกำเนิดก่อนโดยกาลนาน 90 แสนกัลป์ ผู้นั้นระลึกตามเนื่องๆก็จะสำเร็จ ไตรวิชชา และ อภิญญา 6 ประการ ยังทิพจักษุญานให้บริสุทธิ์ ดุจองค์มเหสักกเทวราช มีอาการรีบร้อนออกจากบ้านไป จะไม่อดอาหารในระหว่างทางที่ผ่านไป จะเป็นที่พึ่งพาอาศัยแห่งชนทั้งหลายในเรื่องเสบียงอา หาร ภัยอันตราย ศัตรูหมู่ปัจจามิตร ไม่อาจจะมาครอบงำย่ำยีได้ นี่เป็นทิฏฐธรรมเวทนียานิสงส์ปัจจุบันทันตา ในสัมปรายิกานิสงส์ที่จะเกื้อหนุนในภพเบื้องหน้านั้น แสดงว่าผู้ใดได้พระสูตรนี้ เมื่อสืบขันธะประวัติในภพเบื้องหน้า จะบริบูรณ์ด้วยโภคสมบัติ หิรัญรัตนมณีเหลือล้น ขนขึ้นรักษาไว้ที่เรือน และที่คลังเป็นต้นประกอบด้วยเครื่องอลังการวิภูษิตพร รณต่างๆ จะมีกำลังมากแรงขยันต่ออยุทธนาข้าศึก ศัตรูหมู่ไพรีไม่ย่อท้อ ทั้งจะมีฉวีวรรณผ่องใสบริสุทธิ์ดุจทองธรรมชาติ มีจักษุประสาทรุ่งเรืองงามไม่วิปริตแลเห็นทั่วทิศซึ่ งสรรพรูปทั้งปวง และจะได้เป็นพระอินทร์ปิ่นพิภพดาวดึงส์อยู่ 36 กัลป์ โดยประมาณ และจะได้เป็น บรมจักรพรรดิราชผู้เป็นอิสระในทวีปใหญ่ 4 ทวีปน้อย 2000 เป็นบริวาร นานถึง 36 กัลป์ จะถึงพร้อมด้วยประสาทอันแล้วไปด้วยทองควรจะปรีดา บริบูรณ์ด้วยแก้ว 7 ประการ ได้แก่ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว มณีแก้ว นางแก้ว ขุนคลังแก้ว ขุนพลแก้ว อันเป็นของเกิดสำหรับบุญแห่งจักรพรรดิราช จะตั้งอยู่ในสุขสมบัติโดยกำหนดกาลนาน ยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสาร อานิสงส์คงอภิบาล ตามประคองไป ให้มีปัญญาเฉียบแหลมว่องไวสุขุมละเอียดลึกซึ้ง อาจรู้ทั่วถึงอรรถธรรมด้วยกำลังปรีชาญาน อวสานที่สุดชาติก็จะได้บรรลุพระนิพาน อนึ่ง ถ้ายังไม่ถึง พระนิพานก็จะไม่ไปบังเกิดในอบายภูมิทั้ง 4 มี นรก เปรต อสุรกาย ดิรัจฉานกำเนิดและมหานรกใหญ่ทั้ง 8 ขุม ช้านานถึง 90 แสนกัลป์ และจะไม่ไปเกิดในตระกูลหญิงจัณฑาลเข็ญใจ จะไม่ไปเกิดในตระกูลมิจฉาทิฏฐิ จะไม่ไปเกิดเป็นหญิง จะไม่ไปเกิดเป็นอุภโตพยัญชนกอันมีเพศเป็น 2 ฝ่าย จะไม่ไปเกิดเป็นบัณเฑาะก์ เป็นกระเทย ที่เป็นอภัพพบุคคล บุคคลผู้นั้นเกิดในภพใดๆ จะมีอวัยวะน้อยใหญ่บริบูรณ์ จะมีรูปทรงสัณฐานงามดีดุจทองธรรมชาติ เป็นที่เลื่อมใสแก่มหาชน ผู้ใดทัศนาไม่เบื่อหน่าย จะเป็นผู้มีอายุคงทนจนถึงอายุขัยถึงตาย จะเป็นคนมีศีล ศรัทธาธิคุณบริบูรณ์ ในการบริจาคทานไม่เบื่อหน่าย จะเป็นคนไม่มีโรคาพยาธิเบียดเบียน สรรพอันตรายความจัญไรภัยพิบัติ สรรพอาพาธที่บังเกิดเบียดเบียนกาย ก็จะสงบระงับดับคลายลงด้วยคุณานิสงส์ ผลที่ได้สวดมนต์ ได้สดับฟังพระสูตรนี้ ด้วยประสาทจิตผ่องใส เวลามรณสมัยใกล้จะตายจะไม่หลงสติ จะดำรงไว้ในทางสุคติ เสวยสุขสมบัติตามใจประสงค์ นรชนผู้ใดเห็นตามโดยชอบ ซึ่งพระสูตรอันเจือปนด้วยพระวินัยปรมัตถ์ มีนามบัญญัติชื่อว่า อาการวัตตาสูตร มีข้อความดังได้แสดงมาด้วยประการฉะนี้

<<พระคาถาอาการวัตตาสูตร>>
1. อิติปิโสภะคะวา อะระหัง อิติปิโสภะคะวา สัมมาสัมพุทโธ อิติปิโสภะคะวา วิชชาจะระณะสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา สุคะโต อิติปิโสภะคะวา โลกะวิทู อิติปิโสภะคะวา อะนุตตะโรปุริสะธัมมะสาระถิ อิติปิโสภะคะวา สัตถาเทวะมะนุสสานัง อิติปิโสภะคะวา พุทโธ อิติปิโสภะคะวา ภะคะวาติ ( พุทธะคุณะวัคโค ปะฐะโม จบวรรคที่ 1 )
คำแปล พระพุทธคุณวรรคที่1 แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงครอบงำความทุกข์ได้ ทรงไม่มีความลับ ทรงบริสุทธิ์ หมดจดดี เป็นผู้ไกลจากกิเลส ทรงฝึกฝนจิตจนถึงแก่น ทรงฝึกฝนจิตจนรู้ชอบ ทรงปฏิบัติจิตจนเห็นแจ้งด้วยตนเอง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ทรงสมบูรณ์พร้อมด้วยวิชชา การแสดงคุณค่าของจิตให้ปรากฎจรณะ เครื่องอาศัยให้วิชชาได้ปรากฎ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ทรงดำเนินไปในทางดี คือ อริยมรรค-ปฏิปทา เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี ทรงรู้แจ้งโลก เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง ทรงบังคับยานขึ้นจากหล่มได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นผู้ฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า ทรงนำเวไนยนิกร ออกจากแดนมนุษย์และแดนเทพ เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทรงฝึกฝนจิตจนถึงแก่น ทรงปฏิบัติจิตจนรู้แจ้งจิต ทรงพลังการฝึกปรืออันถูกชอบเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานด้วยธรรม พระผู้ทรงธรรมเป็นผู้จำเริญจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ 2. อิติปิโสภะคะวา อะภินิหาระ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา อุฬารัชฌาสะยะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ปะนิธานะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา มะหากะรุณา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ปะโยคะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ยุติ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ชุติ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา คัพภะโอกกันติ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา คัพภะฐิติ ปาระมิสัมปันโน ( อะภินิหาระวัคโค ทุติโย จบวรรคที่ 2 )
คำแปลอภินิหารวรรคที่2 แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเพียบพร้อมด้วยพระบารมีคือ พระบารมีเกี่ยวกับอภินิหาร พระบารมีเกี่ยวกับอัชฌาสัยอันโอฬาร พระบารมีเกี่ยวกับพระปณิธาน พระบารมีเกี่ยวกับพระมหากรุณา พระบารมีเกี่ยวกับพระญาณ พระบารมีเกี่ยวกับการประกอบความเพียร พระบารมีเกี่ยวกับข้อยุติของข้องใจ พระบารมีเกี่ยวกับจิตใจ โชติช่วงชัชวาลย์ พระบารมีลงสู่พระครรภ์ พระบารมีดำรงอยู่ในพระครรภ์ 3.อิติปิโสภะคะวา คัพภะวุฏฐานะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา คัพภะมะละวิระหิตะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา อุตตะมะชาติ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา คะติ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา อะภิรูปะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา สุวัณณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา มะหาสิริ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา อาโรหะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ปะรินาหะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา สุนิฏฐะ ปาระมิสัมปันโน ( คัพภะวุฏฐานะวัคโค ตะติโย จบวรรคที่ 3 )
คำแปล คัพภวุฏฐานวรรคที่3 แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเพียบพร้อมด้วยพระบารมี คือ พระบารมีอยู่รอดจากพระครรภ์ พระบารมีปราศจากมลทินในการคลอด พระบารมี มีพระชาติอันอุดม พระบารมีที่ทรงดำเนินไป พระบารมีทรงพระรูปอันยิ่งใหญ่ พระบารมีทรงมีผิวพรรณงาม พระบารมีทรงมิ่งขวัญอันยิ่งใหญ่หลวง พระบารมีเจริญวัยขึ้น พระบารมีผันแปร พระบารมีในการคลอดสำเร็จ 4. อิติปิโสภะคะวา อะภิสัมโพธิ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา สีละขันธะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา สะมาธิขันธะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ปัญญาขันธะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ทะวัตติงสะมะหาปุริสะลักขะณะ ปาระมิสัมปันโน ( อะภิสัมโพธิวัคโค จะตุฏโฐ จบวรรคที่ 4 )
คำแปล อภิสัมโพธิวรรคที่4 แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเพียบพร้อมด้วยพระบารมี คือ พระบารมีในการตรัสรู้เองยิ่ง พระบารมีในกองศีล พระบารมีในกองสมาธิ พระบารมีในกองปัญญา พระบารมีในมหาปุริสลักขณะสามสิบสอง 5. อิติปิโสภะคะวา มะหาปัญญา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ปุถุปัญญา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา หาสะปัญญา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ชะวะนะปัญญา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ติกขะปัญญา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ปัญจะจักขุ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา อัฏฐาระสะพุทธะกะระ ปาระมิสัมปันโน ( มะหาปัญญาวัคโค ปัญจะโม จบวรรคที่ 5 ) คำแปล มะหาปัญญาวรรคที่5 แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเพียบพร้อมด้วยพระบารมี คือ พระบารมีในมหาปัญญา พระบารมีในปัญญาอันหนาแน่น พระบารมีในปัญญาอันร่าเริง พระบารมีในปัญญาอันแล่นเร็ว พระบารมีในปัญญาอันกล้าแข็ง พระบารมีในดวงตาทั้งห้า คือ ตาเนื้อ ทิพพจักษุ ปัญญาจักษุ ธรรมจักษุ พระบารมีในการทำพุทธอัฏฐารส 6. อิติปิโสภะคะวา ทานะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา สีละ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา เนกขัมมะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ปัญญา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา วิริยะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ขันตี ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา สัจจะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา อะธิษฐานะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา เมตตา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา อุเปกขา ปาระมิสัมปันโน ( ปาระมิวัคโค ฉัฏโฐ จบวรรคที่ 6 )
คำแปล ปาระมิวรรคที่6 แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเพียบพร้อมด้วยพระบารมี คือ พระบารมีในการให้ปัน พระบารมีในการรักษากาย วาจา ใจ ให้เป็นปกติ พระบารมีในการเว้น ขาดจากความประพฤติแบบประชาชนผู้ครองเรือน พระบารมีกำกับศรัทธาคือปัญญา พระบารมีในความกล้าผจญทุกสิ่งด้วยความมีสติความพากเพียร พระบารมีในความต้องการเป็นพุทธะด้วยความมีสัจจะ ความจริงใจต่อตนเองและผู้อื่น พระบารมีในการตั้งจิตไว้ในฐานอันยิ่ง พระบารมีในความเมตตา พระบารมีในความอดทน พระบารมีในความวางใจตนได้ 7. อิติปิโสภะคะวา ทะสะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ทะสะอุปะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ทะสะปะระมัตถะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา สะมะติงสะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ตังตังฌานะฌานังคะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา อะภิญญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา สะติ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา สะมาธิ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา วิมุตติ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา วิมุตติญาณะ ปาระมิสัมปันโน ( ทะสะปาระมิวัคโค สัตตะโม จบวรรคที่ 7 )
คำแปล ทศบารมีวรรคที่7 แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเพียบพร้อมด้วยพระบารมี คือ พระบารมีสิบขั้นต้นบำเพ็ญด้วยวัตถุสิ่งของ พระบารมีสิบขั้นกลางบำเพ็ญด้วยอวัยวะร่างกาย พระบารมีปรมัตถ์สิบขั้นสูงบำเพ็ญด้วยชีวิต พระบารมีสามสิบทัศสมบูรณ์ พระบารมีในฌาน และองค์ฌานนั้นๆ พระบารมีทรงญาณอภิญญายิ่ง พระบารมี มีสติรักษาจิต พระบารมีทรงสมาธิมั่นคง พระบารมีในวิมุตติความหลุดพ้น พระบารมีที่รู้เห็นความหลุดพ้นของจิต 8. อิติปิโสภะคะวา วิชชาจะระณะวิปัสสะนาวิชชา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา มะโนมะยิทธิวิชชา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา อิทธิวิทธิวิชชา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ทิพพะโสตะวิชชา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ปะระจิตตะวิชชา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ปุพเพนิวาสานุสสะติวิชชา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ทิพพะจักขุวิชชา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา จะระณะวิชชา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา จะระณะธัมมะวิชชา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา อะนุปุพพะวิหาระ ปาระมิสัมปันโน ( วิชชาวัคโค อัฏฐะโม จบวรรคที่ 8 )
คำแปล วิชชาวรรคที่8 แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเพียบพร้อมด้วยพระบารมี คือ พระบารมีในวิปัสสนา วิชชาในวิชชา3 และจระณะ15 พระบารมีในวิชชามโนมยิทธิ พระบารมีในอิทธิวิชชา พระบารมีในทิพพโสตวิชชา พระบารมีในปรจิตตวิชชา พระบารมีในปุพพนิวาสานุสสติวิชชา พระบารมีในทิพพจักขุวิชชา พระบารมีในจรณวิชชา พระบารมีในวิชชาจรณธรรมวิชชา พระบารมีในอนุปุพพวิหารเก้า 9. อิติปิโสภะคะวา ปะริญญา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ปะหานะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา สัจฉิกิริยา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ภาวะนา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ปะริญญาปะหานะสัจฉิกิริยาภาวะนา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา จะตุธัมมะสัจจะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ปะฏิสัมภิทาญาณะ ปาระมิสัมปันโน ( ปะริญญานะวัคโค นะวะโม จบวรรคที่ 9 )
คำแปล ปริญญาณวรรคที่9 แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเพียบพร้อมในพระบารมี คือ พระบารมีกำหนดรู้ทุกข์ พระบารมีละเหตุให้เกิดทุกข์ คือ ตัณหา พระบารมีทำจิตให้แจ่มแจ้ง คือ นิโรธ พระบารมีอันเป็นมรรคภาวนา พระบารมีในการกำหนดรู้การละการทำให้แจ้งและการอบรมให้มีให้เป็น พระบารมีในธรรมสัจจะทั้งสี่ พระบารมีในปฏิสัมภิทาญาณ 10. อิติปิโสภะคะวา โพธิปักขิยะธัมมะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา สะติปัฏฐานะปัญญา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา สัมมัปปะทานะปัญญา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา อิทธิปาทะปัญญา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา อินทรียะปัญญา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา พะละปัญญา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา โพชฌังคะปัญญา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา อัฏฐังคิกะมัคคะธัมมะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา มะหาปุริสะสัจฉิกิริยา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา อะนาวะระณะวิโมกขะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา อะระหัตตะพะละวิมุตติ ปาระมิสัมปันโน ( โพธิปักขิยะวัคโค ทะสะโม จบวรรคที่ 10 ) คำแปล โพธิปักขิยะวรรคที่10 แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเพียบพร้อมด้วยพระบารมี คือ พระบารมีในโพธิปักขิยธรรม พระบารมี มีพระปัญญาในสติปัฏ-ฐาน พระบารมี มีพระปัญญาในสัมมัปปธาน พระบารมี มีพระปัญญาในอิทธิบาท พระบารมี มีพระปัญญาในอินทรีย์หก พระบารมี มีพระปัญญาในพละห้า พระบารมี มีพระปัญญาในโพชฌงค์เจ็ด พระบารมี มีพระปัญญาในมรรคแปด พระบารมีในการทำแจ้งในมหาบุรุษ พระบารมีในอนาวรณวิโมกข์ พระบารมีในวิมุตติอรหัตตผล 11. อิติปิโสภะคะวา ทะสะพะละญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ฐานาฐานะญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา วิปากะญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา สัพพัตถะคามินีปะฏิปะทา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา นานาธาตุญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา นานาธิมุตติกะญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา อินทริยะปะโรปะริยัตตะญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา นิโรธะวุฏฐานะญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ปุพเพนิวาสานุสสะติญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา จุตูปะปาตะญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา อาสะวักขะยะญาณะ ปาระมิสัมปันโน ( ทะสะพะละญาณะวัคโค ทะสะโม จบวรรคที่ 11 )
คำแปล ทศพลญาณวรรคที่11 แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเพียบพร้อมด้วยพระบารมี คือ พระทศพลญาณบารมีอันได้แก่ พระบารมีรู้ฐานะและอฐานะ พระบารมีรู้วิบากโดยฐานะโดยเหตุ พระบารมีรู้ปฏิปทายังสัตว์ไปสู่ภูมิทั้งปวง รู้โลกมีธาตุอย่างเดียวและมากอย่าง พระบารมีรู้อธิมุตของสัตว์ทั้งหลาย พระบารมีรู้อินทรีย์ยิ่งและหย่อนของสัตว์ พระบารมีรู้ความเศร้าหมองและความผ่องแผ้วเป็นต้น แห่งธรรมมีฌานเป็นต้น พระบารมีรู้ระลึกชาติได้ พระบารมีรู้จุติและอุบัติของสัตว์ พระบารมีรู้การกระทำให้แจ้งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติอันหาอาสวะมิได้ 12 . อิติปิโสภะคะวา โกฏิสะหัสสานังปะกะติสะหัสสานังหัตถีนังพะละธะระ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ปุริสะโกฏิทะสะสะหัสสานังพะละธะระ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ปัญจะจักขุญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ยะมักกะญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา สีละคุณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา คุณะปาระมิสะมาปัตติ ปาระมิสัมปันโน ( กายะพะละวัคโค ทะวาทะสะโม จบวรรคที่ 12 )
คำแปล กายพลวรรคที่12 แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเพียบพร้อมด้วยพระบารมี คือ พระบารมีทรงกำลังช้างทั้งหลายตั้งพันโกฏิพันปโกฏิ พระบารมีทรงพลังแห่งบุรุษตั้งหมื่นคน พระบารมีหยั่งรู้จักขุห้า คือ ตาเนื้อ ตาทิพย์ ตาญาณ ตาปัญญา ตาธรรม พระบารมีรู้การทำยมกปาฏิหาริย์ พระบารมีในสีลคุณ พระบารมีแห่งคุณค่าและสมาบัติ 13. อิติปิโสภะคะวา ถามะพะละ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ถามะพะละญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา พะละ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา พะละญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ปุริสะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา อะตุละยะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา อุสาหะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา คะเวสิญาณะ ปาระมิสัมปันโน ( ถามะพะละวัคโค เตระสะโม จบวรรคที่ 13 )
คำแปล ถามพลวรรคที่13 แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเพียบพร้อมด้วยพระบารมี คือ พระบารมีที่เป็นกำลังเรี่ยวแรงแห่งจิต พระบารมีกำลังเรี่ยวแรง พระบารมีที่เป็นพลังภายใน พระบารมีเรี่ยวแรงแห่งจิต พระบารมีรู้กำลังเรี่ยวแรง พระบารมีที่เป็นพลังภายใน พระบารมีรู้กำลังภายใน พระบารมีไม่มีเครื่องชั่ง พระบารมีญาณ พระบารมีอุตสาหะ พระบารมีการแสวงหาทางตรัสรู้ 14. อิติปิโสภะคะวา จะริยา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา จะริยาญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา โลกัตถะจะริยา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา โลกัตถะจะริยาญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ญาณัตถะจะริยา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ญาณัตถะจะริยาญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา พุทธะจะริยา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา พุทธะจะริยาญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ติวิธะจะริยา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ปาระมิอุปะปาระมิปะระมัตถะ ปาระมิสัมปันโน ( จะริยาวัคโค จะตุระสะโม จบวรรคที่ 14 )
คำแปล จริยาวรรคที่14 แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเพียบพร้อมด้วยพระบารมี คือ พระบารมีที่ทรงประพฤติ พระบารมีรู้การที่ทรงประพฤติ พระบารมีที่ทรงประทานให้เป็นประโยชน์แก่ชาวโลก(สังคมโลก) พระบารมีรู้สิ่งที่ควรประพฤติแก่ชาวโลก พระบารมีที่ควรประพฤติแก่ญาติวงศ์ พระบารมีรู้สิ่งที่ควรประพฤติให้เป็นประโยชน์แก่พระญาติพระวงศ์ พระบารมีที่เป็นพุทธ-จริยา พระบารมีรู้สิ่งที่ควรประพฤติโดยฐานเป็นพระพุทธเจ้า พระบารมีครบทั้งสามอย่าง พระบารมีครบทั้งบารมีอุปบารมีและปรมัตถบารมี 15. อิติปิโสภะคะวา ปัญจุปาทานักขันเธสุอะนิจจะลักขะณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ปัญจุปาทานักขันเธสุทุกขะลักขะณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ปัญจุปาทานักขันเธสุอะนัตตะลักขะณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา อายัตตะเนสุติลักขะณะญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา อัฏฐาระสะธาตุสุติลักขะณะญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา วิปะรินามะลักขะณะ ปาระมิสัมปันโน ( ลักขะณะวัคโค ปัณณะระสะโม จบวรรคที่ 15 )
คำแปล ลักขณวรรคที่15 แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเพียบพร้อมด้วยพระบารมี คือ พระบารมีเห็นอนิจจลักขณะในการยึดติดขันธ์ห้า พระบารมีเห็นทุกขลักขณะในการยึดติดขันธ์ห้า พระบารมีเห็นอนัตตลักขณะในการยึดติดขันธ์ห้า พระบารมีรู้ลักษณะสามในอายตนะทั้งหลาย พระบารมีรู้ลักษณะสามในธาตุสิบแปดทั้งหลาย พระบารมีรู้ลักษณะอันแปรปรวนไป 16. อิติปิโสภะคะวา คะตัตถานะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา คะตัตถานะญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา วะสิตะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา วะสิตะญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา สิกขา ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา สิกขาญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา สังวะระ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา สังวะระญาณะ ปาระมิสัมปันโน ( คะตัตถานะวัคโค โสฬะสะโม จบวรรคที่ 16 )
คำแปล คตัฏฐานวรรคที่16 แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเพียบพร้อมด้วยพระบารมี คือ พระบารมีในสถานที่ไปแล้ว พระบารมีหยั่งรู้สถานที่ไป พระบารมีอยู่จบพรหมจรรย์ แล้วพระบารมีหยั่งรู้ว่าอยู่จบพรหมจรรย์แล้ว พระบารมีในการตระหนัก พระบารมีรู้ในการตระหนัก พระบารมีสำรวมระวังอินทรีย์ พระบารมีรู้ในการสำรวมระวังอินทรีย์ 17. อิติปิโสภะคะวา พุทธะปะเวณี ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา พุทธะปะเวณีญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ยะมะกะปาฏิหาริยะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา ยะมะกะปาฏิหาริยะญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา จะตุพรหมวิหาระ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา อะนาวะระณะญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา อะปะริยันตะญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา สัพพัญญุตะญาณะ ปาระมิสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา จะตุวีสะติโกฏิสะตะวัชชิระ ปาระมิสัมปันโน ( ปะเวณีวัคโค สัตตะระสะโม จบ 17 วรรค บริบูรณ์ )
คำแปล ปเวณิวรรคที่17 แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเพียบพร้อมด้วยพระบารมี คือ พระบารมีในพุทธประเวณี พระบารมีรู้ถึงพุทธประเวณี พระบารมีในการทำยมกปาฏิหาริย์ พระบารมีรู้ในการทำยมกปาฏิหาริย์ พระบารมีการอยู่อย่างประเสริฐ พระบารมีรู้อย่างไม่มีอะไรกั้นกาง พระบารมีรู้อย่างไม่มีขอบเขต พระบารมีรู้สรรพสิ่งทั้งปวง พระบารมีวชิรญาณประมาณยี่สิบสี่โกฏิกัปหนึ่งร้อย (พระคาถาสุนทรีวาณี)(หัวใจพระอาการวัตตาสูตร) มุนินทะ วะทะนัมพุชะคัพภะ สัมภะวะสุนทะรี ปาณีนัง สะระณัง วาณี มัยหัง ปิณะยะตัง มะนัง


วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

อานิสงส์ของการรักษาศีล และ ผลของการไม่รักษาศีล

ปัจจุบันนี้คนเราส่วนใหญ่รู้จักศีล ๕ แต่ไม่มีใครคิดที่จะปฏิบัติตาม ด้วยสภาพสังคมในตอนนี้คนเราเริ่มจะเห็นการกระทำที่มันไม่ดีเป็นเรื่องปกติ ส่วนคนที่ทำความดีก็ดูเหมือนว่าจะเป็นคนไม่ปกติและอาจจะเข้าพวกเข้าสังคมไม่ค่อยได้ ที่เป็นอย่างนี้เพราะอะไร??
ที่เป็นอย่างนี้เพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้จักศีล ๕ อย่างแท้จริงให้ลึกซึ้ง จึงหลงทำผิดไปโดยไม่รู้ตัว ผมเชื่อว่า ถ้าทุกคนที่ได้เข้ามาอ่านบทความนี้จะต้องมีความคิดที่เปลี่ยนไป และตั้งใจรักษาศีลให้มากขึ้น แล้วท่านจะรู้ว่าตัวท่านที่เป็นอยู่ในตอนนี้นั่นแหล่ะ คือเหตุและผลที่ท่านกระทำมาเองท่านจึงเป็นอย่างที่เป็นอยู่แบบนี้ แล้วถ้าทุกคนเลือกเกิดได้คุณจะเลือกเกิดเป็นอะไร???
.............. คุณก็ต้องเลือกเกิดในตระกูลที่มีฐานะดีมั่นคง มีชื่อเสียงและรูปร่างหน้าตาสวย หล่อ ...............แล้วทำไมคุณไม่เลือกเกิดในตระกูลเหล่านั้น ทำไมท่านจึงไม่เป็นอย่างโน้นอย่างนี้และอีก ฯลฯ
.............. เพราะอะไรเล่า?
 ..............ก็เพราะว่าท่านได้สร้างเหตุปัจจัยไว้อย่างไรก็ได้ผลอย่างนั้น
...............แล้วอะไรทำให้ท่านจึงเกิดมาอย่างนี้หล่ะ
...............คำตอบ  .............คือ "ผลของกรรม"
กรรม ก็คือ การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา ทางกายก็ตาม ทางวาจาก็ตาม ทางใจก็ตาม ของตัวท่านเองนั่นแหล่ะจะเป็นตัวกำหนดท่านเอง  ผลของการกระทำจะสะสมอยู่ในจิตที่จะเป็นตัวเดินทางหลังจากท่านตาย.........................
................................แล้วท่านวางแผนชีวิตในชาติหน้าไว้แล้วรึยัง....................
..................หลายคนวางแผนชีวิตไว้แต่เฉพาะในชาตินี้ ..น้อยคนนักที่จะวางแผนชีวิตไปถึงชาติหน้า  .................ทำไมพวกเค้าไม่วางแผนหล่ะครับ.......................ก็เพราะว่าเค้าไม่รู้งัยครับ
..................เราไม่ได้บอกว่าผลของการรักษาศีลที่คุณจะตั้งใจรักษาจะได้รับในชาติหน้าน่ะครับ ................แต่คุณจะได้รับในวินาทีแรกที่คุณตั้งใจจะรักษา.........................แล้วคุณจะดูดีขึ้น.....หน้าตาและผิวพรรณคุณจะเปลี่ยนไป..........คุณจะรับความโชคดีอย่างไม่คาดคิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงานหรือโอกาส.........................ท่านต้องลองดูเองน่ะครับ.................ผมเชื่อว่าท่านต้องสัมผัสมันได้อย่างที่ผมสัมผัสมันได้ครับ...............แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับกรรมที่ท่านทำในอดีตด้วยน่ะครับ
..................นี่แค่อนิสงค์ของศีลเท่านั้น ถ้าท่านได้ปฏิบัติจิตภาวนาทั้งสมถะและวิปัสสนาด้วยจนเป็นนิสัยย่อมสามารถเลือกที่เกิดก่อนที่จิตดวงสุดท้ายจะดับ(จุติจิต)และส่งผลนั้นต่อปฏิสนธิจิตที่จะเกิดต่อจากจุติจิตดวงนั้น ได้อย่างแน่นอนสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถบรรลุนิพพาน.......................ว่ากันมายาวเลย.......ผมว่าเรามาลุยกันต่อในเรื่องของศีลดีกว่าครับ


ถ้าเรารักษาหรือไม่รักษาศีล ๕ แล้วเราจะได้อะไร ? มาดูกันครับ

ศีลข้อที่ ๑ เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการเบียดเบียนชิวิตซึ่งกันและกันเนื่องจากชีวิตเป็นสิ่งที่ทุกคนรัก ทุกคนหวงแหน แม้สัตว์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน รักชีวิต หวงชีวิต กลัวชีวิตจะต้องตาย ทุกๆชีวิตไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ทั้งหลาย ต่างดิ้นรนต่อสู้ทุกวิถีทาง เพื่อให้ชีวิตของตนอยู่รอด แคล้วคลาดปลอดภัยอยู่ดีมีความสุข พระพุทธเจ้าจึงบัญญัติศีล ข้อที่ ๑ ด้วยเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายรักชีวิตของตนเป็นอันดับ ๑


ศีลข้อที่ ๑  เว้นจากการฆ่าสัตว์   ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ
๑. สัตว์นั้นมีชีวิต
๒. รู้อยู่ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
๓. มีจิตคิดจะฆ่าสัตว์นั้น
๔. มีความพยายามฆ่าสัตว์นั้น
๕. สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น

ศีลข้อ ที่ ๑ ปาณาติปาตาเวรมณี
เว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วยตนเองหรือใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ถ้าไม่เว้นย่อมยังสัตว์ให้เกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์เดรัจฉานในเปรตวิสัย และเมื่อวิบากกรรมเริ่มเบาบางลงมีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์อีกก็จะได้รับผลจากวิบากกรรมที่ผิดศีลข้อ ๑    ๙ ประการ คือ
๑. เป็นคนทุพพลภาพ
๒. เป็นคนรูปไม่งาม
๓. มีกำลังกายอ่อนแอ
๔. เป็นคนเฉื่อยชา
๕. เป็นคนขี้ขลาด
๖. เป็นคนที่ถูกผู้อื่นฆ่า หรือฆ่าตัวเอง
๗. มักมีโรคภัยเบียดเบียน
๘. ความพินาศเกิดกับบริวาร
๙. อายุสั้น และให้ผลติดต่อกันหลายชาติ

รักษาศีลข้อที่ ๑ แล้วได้อะไร ?
๑. ได้รับผลปฏิสนธิกาล คือ ได้เกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดเป็นเทวดา เรียก ว่า กามสุคติภูมิ
๒. ได้รับผลในปวัตติกาล คือ หลังจากเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ได้รับผลอีก ๒๓ ประการ

อานิสงส์แห่งการรักษาศีลข้อที่ ๑ มี ๒๓ ประการ
๑. สมบูรณ์ด้วยอวัยวะน้อยใหญ่(มีอวัยวะครบ ๓๒ ประการ)
๒. มีร่างกายสมทรง
๓. สมบูรณ์ด้วยกำลังกาย
๔. มือเท้างาม ประดิษฐานลงด้วยดี
๕. เป็นผู้มีผิวพรรณสดใส
๖. มีรูปโฉมงามสะอาด
๗. เป็นผู้อ่อนโยน
๘. เป็นผู้มีความสุข
๙. เป็นผู้แกล้วกล้า
๑๐.เป็นผู้มีกำลังมาก
๑๑. มีถ้อยคำสละสลวยเพราะพริ้ง
๑๒. มีบริษัท(บริวาร)รักใคร่ไม่แตกแยกจากตน
๑๓. เป็นคนไม่สะดุ้งตกใจกลัวต่อเวรภัย
๑๔. ข้าศึกศัตรูทำร้ายไม่ได้
๑๕. ไม่ตายด้วยความเพียรฆ่าของผู้อื่น
๑๖. มีบริวารหาที่สุดมิได้
๑๗. มีรูปร่างสวยงาม
๑๘. มีทรวดทรงสมส่วน
๑๙. มีความเจ็บไข้น้อย
๒๐. ไม่มีเรื่องเศร้าโศก เสียใจ
๒๑. เป็นที่รักของชาวโลก
๒๒.ไม่พลัดพรากจากสิ่งที่รักและชอบใจ
๒๓. มีอายุยืน


ศีลข้อที่ ๒ อทินนาทานา เวรมณี... เว้นจากการลักทรัพย์ด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นลัก

ศีลข้อที่ ๒ เว้นจากการลักทรัพย์   ต้องประกอบด้วยองค์ ๕ คือ
๑. ทรัพย์หรือสิ่งของนั้นมีเจ้าของหวงแหน
๒. รู้อยู่ว่าทรัพย์นั้นมีเจ้าของหวงแหน
๓. มีจิตคิดจะลักทรัพย์นั้น
๔. มีความพยายามลักทรัพย์นั้น
๕. ลักทรัพย์ได้ด้วยความพยายามนั้น

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า อทินนาทาน อันบุคคลเสพ(ประพฤติ)แล้วเจริญแล้ว(ทำจนเป็นปกติ) กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานในเปรตวิสัย วิบากแห่งอทินนาทาอย่างเบาบางที่สุด ย่อมยังความพินาศแห่งโภคะให้เป็นไปแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์มีสมบัติก็ต้องพินาศ เมื่อมีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์อีกจะได้รับผล ๖ ประการ คือ
๑. เป็นคนด้อยด้วยทรัพย์
๒. เป็นคนยากจน
๓. เป็นคนอดอยาก
๔. ไม่ได้สมบัติที่ตนต้องการ
๕. ต้องพินาศในการค้า
๖. ทรัพย์พินาศเพราะภัยภิบัติต่างๆ เช่น อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ราชภัย โจรภัย เป็นต้น

ถ้าเรารักษาศีลข้อที่ ๒ แล้วเราจะได้อะไร ?
๑. ได้รับผลในปฏิสนธิกาล คือ ได้เกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาเรียกว่า กามสุคติภภูมิ
๒. ได้รับผลในปวัตติกาล คือหลังจากเกิดเป็นมนุษย์แล้วจะได้รับผลอีก 11 ประการ

อานิสงส์ของการรักษาศีล ข้อที่ ๒ มี ๑๑ ประการ
๑. เป็นผู้มีทรัพย์มาก
๒. มีข้าวของและอาหารมาก
๓. หาบริโภคทรัพย์ได้ไม่สิ้นสุด
๔. โภคทรัพย์ที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น
๕. โภคทรัพย์ที่ได้ไว้แล้วก็ยั่งยืนถาวร
๖. หาสิ่งที่ปรารถนาได้รวดเร็ว
๗. สมบัติไม่กระจายด้วยภัยต่างๆ
๘. หาทรัพย์ได้โดยไม่ถูกแบ่งแยก
๙. ได้โลกุตตรทรัพย์ คือนิพพาน
๑๐. อยู่ที่ไหนก็เป็นสุข
๑๑. จะไม่รู้ ไม่เคย ได้ยินคำว่าไม่มี


ศีลข้อที่ ๓ กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี... เว้นจากการประพฤติผิดในกาม

ศีลข้อที่ ๓ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม   ต้องประกอบด้วยองค์ ๔  คือ
๑. หญิงหรือชายที่ไม่ควรละเมิด คือ หญิงที่ไม่ใช่ภรรยา หรือชายที่ไม่ใช่สามีของตน หญิงหรือชายที่อยู่ปกครองของบิดา มารดา  หรือกรณีที่บุพพการี  เสียชีวิต แต่มีผู้ปกครองอื่นดูแลอยู่  เช่น ลุง ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย เป็นต้น
๒. มีจิตคิดจะเสพเมถุน
๓. ประกอบกิจในการเสพเมถุน
๔. ยังอวัยวะเพศให้ถึงกัน
อธิบายองค์ที่ ๑ ให้ละเอียดอีกที หญิง ๒๐ จำพวกที่เมื่อเราละเมิดแล้วมีความผิดคือ
๑.หญิงที่มีมารดาปกครอง
๒.หญิงที่มีบิดาปกครอง
๓.หญิงที่มีทั้งมารดาและบิดาปกครอง
๔.หญิงที่มีพี่สาวปกครองหรือมีน้องสาวดูแลรักษาหรือหวงอยู่
๕.หญิงที่มีพี่ชายปกครองหรือมีน้องชายดูแลรักษาหรือหวงอยู่
๖.หญิงที่มีญาติปกครอง
๗.หญิงที่มีตระกูลเดียวกันหรือเชื้อชาติเดียวกันเป็นผู้ปกครอง
๘.หญิงที่มีผู้ประพฤติปฏิบัติศีลธรรมด้วยกันเป็นผู้ปกครอง เช่น แม่ชีมีหัวหน้าชีปกครอง เป็นต้น
๙.หญิงที่กษัตริย์หรือผู้มีอำนาจได้จองตัวเอาไว้
๑๐.หญิงที่มีคู่หมั่น
๑๑.หญิงที่ถูกผู้อื่นซื้อตัวมา
๑๒.หญิงที่สมัครใจไปอยู่กับชาย (คนอื่นแล้ว)คือหญิงที่มีสามีแล้ว
๑๓.หญิงที่ยอมเป็นภรรยาของชาย (คนอื่นแล้ว)โดยหวังในทรัพย์สินเงินทอง คือหญิงที่มีสามีแล้วอีกประเภทหนึ่ง
๑๔.หญิงที่ยอมเป็นภรรยาของชาย (คนอื่นแล้ว)โดยหวังในเครื่องนุ่งห่ม
๑๕.หญิงที่มีสามีแล้วโดยการทำพิธีแต่งงาน
๑๖.หญิงที่เป็นภรรยาของชายคนอื่น โดยชายคนนั้นเป็นผู้ช่วยให้พ้นจากการแบก ของขายคือช่วยให้พ้นจากความยากลำบากนั่นเอง
๑๗.หญิงที่มีสามีแล้ว โดยเมื่อก่อนเป็นเชลยแล้วภายหลังตกมาเป็นภรรยาของนายเชลยนั้น
๑๘.หญิงที่มีสามีแล้ว โดยเมื่อก่อนเป็นลูกจ้างแล้วภายหลังตกมาเป็นภรรยาของนายจ้างนั้น
๑๙.หญิงที่มีสามีแล้ว โดยเมื่อก่อนเป็นทาสแล้วภายหลังตกมาเป็นภรรยาของนายทาสนั้น
๒๐.หญิงที่เป็นภรรยาของชายชั่วครั้งชั่วคราว แล้วถูกล่วงละเมิดในขณะที่ทำหน้าที่เป็นภรรยาของชายคนอื่นอยู่ เช่นหญิงขายบริการที่อยู่ในช่วงสัญญากับชายคนหนึ่งอยู่ แต่กลับไปมีสัมพันธ์กับชายอีกคนหนึ่ง เป็นต้น

ทั้งหมดนี้เป็นการระบุรวบรวมเอาไว้ตั้งแต่สมัยโบราณ บางข้อจึงดูแปลกๆอยู่บ้าง เพราะประเพณีที่แตกต่างกันออกไป ที่นำมาแสดงเอาไว้ก็เพื่อให้ครบถ้วนตามตำราและเอาไว้ใช้ในการเทียบเคียงกับยุคปัจจุบัน

สำหรับผู้ที่ไม่เข้าข่ายต้องห้ามก็เช่น ชายหญิงที่เป็นสามีภรรยากัน  หญิงขายบริการที่บิดา มารดา และผู้ปกครองทั้งหลายยินยอมพร้อมใจให้ทำอาชีพนั้น

ทั้งนี้ต้องไม่อยู่ในช่วงสัญญากับคนอื่น ด้วยหญิงที่ไม่มีผู้ใดปกครองดูแลและไม่มีเจ้าของหวงอยู่ (คือหญิงที่มีอิสระในตัวเองอย่างแท้จริง)

หญิงที่ได้รับความยินยอมจากใจจริงของผู้ปกครองและผู้ที่เป็นเจ้าของ (เช่น บิดามารดา สำหรับหญิงที่มีสามีแล้วต้องได้รับอนุญาตจากสามีก่อน) โดยทุกกรณี ถ้าฝ่ายชายมีภรรยาแล้วต้องได้รับอนุญาตจากภรรยาก่อนด้วย

โดยสรุปก็คือจะต้องไม่ทำให้ใคร (ผู้ที่มีสิทธิ์โดยชอบธรรมในตัวหญิงและชายนั้น) ไม่พอใจหรือรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจที่เราไปละเมิดบุคคลเหล่านั้น

ทั้งหมดนี้เป็นการระบุรวบรวมเอาไว้ตั้งแต่สมัยโบราณ บางข้อจึงดูแปลกๆอยู่บ้าง เพราะประเพณีที่แตกต่างกันออกไป ที่แสดงเอาไว้ก็เพื่อให้ครบถ้วนตามตำราและเอาไว้ใช้ในการเทียบเคียงกับยุคปัจจุบัน
สมัยนี้จะมีพวกนักเรียนนักศึกษาที่แอบมีอะไรกันก่อนโดยที่ผู้ปกครองไม่รับรู้ บางคนก็ฟันแล้วทิ้งก็ผิดเหมือนกัน เพราะหญิงที่ล่วงละเมิดย่อมมีผู้ปกครองดูแล


ถ้าไม่เว้นจากการประพฤติผิดในกาม(ผิดศีลข้อ๓)จะเกิดอะไรขึ้น ... พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า บุคคลเสพแล้ว เจริญให้มากแล้วย่อมยังสัตว์ให้ตกนรก ยังให้กำเนิดในสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย
เมื่อวิบากกรรมเริ่มเบาบางลงมีโอกาสได้เกิดเป็นมุษย์ ด้วยเศษแห่งวิบากกรรม ขอย้ำน่ะครับว่าเศษวิบากกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่ก่อนหน้าที่จะได้เกิดในกำเนิดมนุษย์ต้องทนทุกข์ทรมานในนรก ในเปรตวิสัย ในสัตว์เดรัจฉานเป็นอันมากตามลำดับ เมื่อวิบากกรรมเบาบางลงจนมีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์จึงได้รับเศษแห่งวิบากกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่

ผิดกาเมสุมิจฉาจาร(ศีลข้อ๓)  แล้วจะได้รับผลยังไง?

หากเกิดเป็นมนุษย์อีกจะได้รับผล ๑๑ ประการ คือ
๑. มีผู้เกลียดชังมาก
๒. มีผู้ปองร้ายมาก
๓. ขัดสนทรัพย์
๔. ยากจนอดอยาก
๕. ต้องเกิดเป็นหญิง
๖. ต้องเกิดเป็นกระเทย
๗. หากเป็นชาย จะเกิดอยู่ในตระกูลต่ำ
๘. ได้รับความอับอายเป็นอาจิณ
๙. ร่างกายไม่สมประกอบ
๑๐. มากไปด้วยความวิตกกังวล
๑๑. พลัดพรากจากผู้ที่ตนรัก

ผล ๑๑ ประการนี้เป็นเพียงเศษของกรรมที่ได้รับ หลังจากตกนรกไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือหลังจากไปเกิด เป็นเปรตมาแล้ว เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะได้รับผลของกาเมสุมิจฉาจาร(ประพฤติผิดศีลข้อ๓) ในปวัตติกาลดังกล่าวแล้ว

แล้วถ้าเราตั้งใจรักษาศีลข้อ๓ คือเว้นจากการประพฤติผิดในกาม เราจะได้รับผลอย่างไร?

การละเว้นจากการประพฤติผิดในกามเสียได้ จะได้รับผล ๒ ขั้น คือ
๑. ได้รับผลใน ปฏิสนธิกาล คือเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาเรียกว่าได้ปฏิสนธิในกามสุคติภูมิ
๒. ได้รับผลใน ปวัตติกาล คือ หลังจากเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จะได้รับผลอีก ๒๐ ประการ

อานิสงส์ของการรักษาศีลข้อที่ ๓ มี ๒๐ ประการ
๑. ไม่มีข้าศึกศัตรู
๒. เป็นที่รักของคนทั่วไป
๓. นอนหลับเป็นสุข
๔. ตื่นก็เป็นสุข
๕. พ้นภัยในอบายภูมิ (อบายภูมิ คือ เปรต สัตว์นรก อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน)
๖. ไม่เป็นบุคคลอาภัพ ไม่เกิดเป็นหญิงหรือกระเทย
๗. ไม่โกรธง่าย
๘. ทำอะไรก็ได้โดยเรียบร้อย
๙. ทำอะไรเปิดเผยแจ่มแจ้ง
๑๐. มีความสง่า คอไม่ตก
๑๑. หน้าไม่ก้ม มีอำนาจ
๑๒. มีแต่เพื่อนรักทั้งบุรุษและสตรี
๑๓. มีอินทรีย์ 5 บริบูรณ์ (ศรัทธา สติ วิริยะ สมาธิ ปัญญา)
๑๔. มีลักษณะบริบูรณ์
๑๕. ไม่มีใครรังเกียจ
๑๖. ขวนขวายน้อย ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมาก
๑๗. อยู่ที่ไหนก็เป็นสุข
๑๘. ไม่ต้องกลัวภัยจากใคร
๑๙. ไม่ค่อยพลัดพรากจากของที่รัก
๒๐. หาข้าว น้ำ ที่อยู่ เครื่องนุ่งห่มได้ง่าย


ศีลข้อที่ ๔ คือ เว้นจากการพูดเท็จ พูดไม่เป็นความจริง พูดโกหกหรือพูดมุสา พูดเพ้อเจ้อ

ศีลข้อที่ ๔ เว้นจากการพูดเท็จ  ต้องประกอบด้วยองค์ ๔ คือ
๑. เรื่องนั้นไม่จริง
๒. มีจิตคิดจะพูดให้คลาดเคลื่อนไปจากความจริง
๓. พยายามที่จะพูดให้คลาดเคลื่อไปจากความจริง
๔. คนฟังเข้าใจความหมายตามที่พูดนั้น

ถ้าไม่เว้นจากมุสาวาท หรือพูดเท็จจะเกิดอะไรขึ้น....พระพุทธเจ้าตรัสว่า มุสาวาทอันบุคคลเสพแล้วเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วย่อมยังสัตว์ให้ป็นไปในนรกในกำเนิดดิรัจฉานในเปรตวิสัย
ผลจากการกล่าวมุสาวาทอย่างเบาที่สุดย่อมยังการแตกจากมิตรให้เป็นไปแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์

การกล่าวมุสาวาทแล้วจะมีผลอย่างไร ?
การกล่าวมุสาวาท หรือการพูดเท็จปราศจากความจริง เมื่อกล่าวออกไปแล้วจะได้รับผล ๒ ขั้น คือ
๑. ได้รับผลใน ปฏิสนธิกาล คือเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรตวิสัย
๒. ได้รับผลใน ปวัตติกาล คือ หลังเกิดแล้ว และผลที่จะได้รับในปวัตติกาลนี้ จะครบองค์มุสาวาท หรือไม่ก็ตาม ถ้าได้เกิดมาเป็นมนุษย์จะได้รับผลร้ายอีก ๘ ประการ คือ
๑. พูดไม่ชัด
๒. ฟันไม่เป็นระเบียบ
๓. ปากเหม็นมาก
๔. ไอตัวร้อนจัด
๕. ตาไม่อยู่ในระดับปกติ
๖. กล่าววาจาด้วยปลายลิ้นและปลายปาก
๗. ท่าทางไม่สง่าผ่าเผย
๘. จิตไม่เที่ยงคล้ายคนวิกลจริต

อานิสงส์แห่งการรักษาศีล ข้อที่ ๔ มี ๑๔ ประการ
๑. มีอินทรีย์ทั้ง ๕ ผ่องใส
๒. มีวาจาไพเราะอ่อนหวาน
๓. มีฟันเสมอชิด สะอาด
๔. ไม่อ้วนจนเกินไป
๕. ไม่ผอมจนเกินไป
๖. ไม่สูงจนเกินไป
๗. ไม่เตี้ยจนเกินไป
๘. กลิ่นปากหอมเหมือนดอกบัว
๙. ได้สัมผัสแต่ที่เป็นสุข
๑๐. มีบริวารล้วนขยันขันแข็ง
๑๑. บุคคลอื่นจะเชื่อถือถ้อยคำที่พูด
๑๒. ลิ้นบางแดง อ่อนเหมือนกลีบดอกบัว
๑๓. ใจไม่ฟุ้งซ่าน
๑๔. ไม่ติดอ่าง ไม่เป็นใบ้


ศีลข้อ ที่ ๕ คือ สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวรมณี เว้นจากการดื่มสุราและเมรัย รวมถึงเครื่องดองของเมาและยาเสพติดให้โทษทุกชนิด

เรามาดูองค์ประกอบของศีล ๕ กันดีกว่าครับ

ศีลข้อที่ ๕ เว้นจากการดื่มน้ำเมา รวมถึงสิ่งเสพติดให้โทษทุกชนิด  ต้องประกอบด้วยองค์ ๔ คือ
๑. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเมา(รวมถึงสิ่งเสพติดทุกชนิด)
๒. มีจิตคิดจะดื่ม(เสพ)
๓. พยายามดื่ม(เสพ)
๔. น้ำเมาหรือสิ่งที่เสพนั้นล่วงพ้นลำคอลงไป

ศีลข้อ ที่ ๕  เว้นจากการดื่มสุราเมรัย ของมึนเมา สิ่งเสพติดให้โทษทุกชนิด

ถ้าไม่เว้นจะได้โทษอย่างไร ?

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัย อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว ยังสัตว์ให้เกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน ในเปรตวิสัย
ผลแห่งการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัยอย่างเบาที่สุด ย่อมยังความเป็นบ้าใบ้ให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์

ถ้าผิดศีล ข้อที่ ๕ ผลได้รับเป็นอย่างไร
ผลที่จะได้รับทีมี ๒ ขั้น คือ
๑. ได้ผลในปฏิสนธิกาล เกิด ในนรก ดิรัจฉาน เปรตวิสัย
๒. ได้รับผลในปวัตติกาล คือหลังจากเกิดแล้วและผลที่จะได้รับในปวัตติกาลนี้จะครบองค์หรือไม่ก็ตามถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์จะได้รับผลจากการดื่มสุรา(และสิ่งเสพติดให้โทษทุกชนิด) ๖ ประการ

ผลจากการดื่มสุราและสิ่งเสพติดให้โทษทุกชนิด ๖ ประการ คือ
๑. ทรัพย์ถูกทำลาย
๒. เกิดวิวาทบาดหมาง
๓. เป็นบ่อเกิดแห่งโรค
๔. เสื่อมเกียรติ
๕. หมดยางอาย
๖. ปัญญาเสื่อมถอยหรือพิการทางปัญญา

รักษาศีล ข้อที่ ๕ จะได้อะไร ?
ถ้าเว้นจากการดื่มสุรา เมรัย หรือเว้นจากสิ่งเสพติดให้โทษจะได้ผลดี ๒ ประการ คือ
๑. ได้รับผลดีในการปฏิสนธิกาล คือจะเกิดในกามสุคติภูมิ มีมนุษย์หรือสวรรค์เป็นที่เกิด
๒. ได้รับผลในปวัตติกาล คือหลังจากเกิดแล้ว ถ้าได้เป็นมนุษย์จะได้รับอานิสงส์จากการเว้นดื่มน้ำเมาและสิ่งเสพติดให้โทษทุกชนิด ๓๕ ประการ

อานิสงส์จากการเว้นดื่มน้ำเมา ๓๕ ประการ คือ
๑. รู้กิจการอดีต อนาคต ปัจจุบันได้รวดเร็ว
๒. มีสติตั้งมั่นทุกเมื่อ
๓. มีปัญญาดี มีความรู้มาก
๔. มีแต่ความสุข
๕. มีแต่คนนับถือ ยำเกรง
๖. มีความขวนขวายน้อย (หากินง่าย)
๗. มีปัญญามาก
๘. มีปัญญาบันเทิงในธรรม
๙. มีความเห็นถูกต้อง
๑๐. มีศีลบริสุทธิ์
๑๑. มีใจละอายแก่บาป
๑๒. รู้จักกลัวบาป
๑๓. เป็นบัณฑิต
๑๔. มีความกตัญญู
๑๕. มีกตเวที
๑๖. พูดแต่ความสัตย์
๑๗. รู้จักเฉลี่ยเจือจาน
๑๘. ซื่อตรง
๑๙. ไม่เป็นบ้า
๒๐. ไม่เป็นใบ้
๒๑. ไม่มัวเมา
๒๒. ไม่ประมาท
๒๓. ไม่หลงใหล
๒๔. ไม่หวาดสะดุ้งกลัว
๒๕. ไม่บ้าน้ำลาย
๒๖. ไม่งุนงง ไม่เซ่อเซอะ
๒๗. ไม่มีความแข่งดี
๒๘. ไม่มีความริษยา
๒๙. ไม่ส่อเสียดใคร
๓๐. ไม่พูดหยาบ
๓๑. ไม่พูดเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์
๓๒. ไม่เกียจคร้านทุกคืนวัน
๓๓. ไม่ตระหนี่
๓๔. ไม่โกรธง่าย
๓๕. ฉลาดรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์และในสิ่งที่เป็นโทษ

อานิสงส์ของความถึงพร้อมด้วยศีล ๕

พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ว่า
ดูก่อนคฤหบดีทั้งหลาย อานิสงส์ของความถึงพร้อมด้วยศีลมี ๕ ประการ คือ
๑. ย่อมประสบซึ่งกองแห่งโภคใหญ่ คือความไม่ประมาทอันเป็นคุณอย่างยิ่ง
๒. ย่อมมีชื่อเสียงดีงามฟุ้งขจรไป
๓. เข้าไปในบริษัทใดก็ตามย่อมเป็นผู้ไม่หลงตาย ย่อมเป็นผู้แกล้วกล้าไม่เก้อเขิน
๔. ผู้ที่มีศีลสมบูรณ์ ย่อมไม่เป็นผู้ไม่หลงตาย
๕. เบี้องหน้าเมื่อการแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

ต.ป.ฎ.เล่ม ๑๐/๑๐๒
ดูก่อนอานนท์ ศีลทั้งหลายเป็นกุศล มีความไม่เดือดร้อนเป็นประโยชน์ มีความไม่เดือดร้อนเป็นอานิสงส์
อานิสงส์การสมาทาน ศีล ๕ มี ๑๐๓ ประการ
ศีลข้อที่ ๑ มีอานิสงส์ ๒๓ ประการ
ศีลข้อที่ ๒ มีอานิสงส์ ๑๑ ประการ
ศีลข้อที่ ๓ มีอานิสงส์ ๒๐ ประการ
ศีลข้อที่ ๔ มีอานิสงส์ ๑๔ ประการ
ศีลข้อที่ ๕ มีอานิสงส์ ๓๕ ประการ
รวม ๑๐๓ ประการดังกล่าวมาแล้ว

ผู้สมาทานศีล ๕ ละโลกนี้ไปแล้ว มีทางไปสู่สวรรค์ ๖ ภูมิ แต่ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ทำบุญให้ทานบ้างแต่ไม่มีศีล ๕ รองรับ จะตกสู่อบายภูมิ๔ เปรต สัตว์นรก อสูรกาย สัตว์เดรัจฉานเรียกว่าทุคติภูมิ
****ภพหรือภูมิก็คือที่อยู่ที่ๆเราจะไปเกิดและดำเนินชีวิตอยู่***
กามสุคติภูมิหรือเรียกอีกอย่างหนึงว่าสุคติภูมิ แบ่งออกเป็น ๗ ภูมิ ได้แก่ มนุษย์ภูมิ ๑ และเทวภูมิอีก ๖
เทวภูมิก็คือที่อยู่ของเทวดามีอยู่ ๖ ชั้นตามอำอาจบุญบารมีที่ได้สั่งสมกระทำไว้ตอนเกิดเป็มนุษย์ คือ

๑.จาตุมหาราชิกาภูมิ
๒.ดาวดึงสาภูมิ
๓.ยามาภูมิ
๔.ดุสิตภูมิ
๕.นิมมานนรดีภูมิ
๖.ปรมินมิตวสวัตตีภูมิ


รักษาศีล ๕ ข้อ ให้สม่ำเสมอทำบุญใส่บาตร สำหรับผู้มีศีล ประพฤติชอบด้วย กาย วาจา ใจ ละโลกนี้ไปแล้วจุติจิตไปปฏิสนธิในโลกสวรรค์ ทันที ผู้สมาทานศีล ๕ ศีล ๘ ทุกวัน มีโอกาสไปอุบัติใน สุคติภูมิ ๖ ขั้นนั้น จะไปอุบัติในเทวโลกภูมิใดนั้นแล้วแต่กำลังบุญกุศลทำไว้ในโลกมนุษย์

มีปัญหาถามขึ้นมาว่าแล้วเราจะต้องไปวัดเพื่อรับศีลกับทุกวันเลยหรือ?
ไม่จำเป็นหรอกครับถ้าเราตั้งใจจะทำความดีที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ เพียงแต่ว่าเมื่อก่อนคนเราไม่รู้ว่าศีลคืออะไร เราก็ไปขอกับพระเพื่อให้ท่านอธิบายให้ฟังว่าอานิสงส์ของการรักษาคืออะไรแล้วเราก็รับศีลมาประพฤติปฏิบัติ ซึ่งตอนนี้ก็ยังมีธรรมเนียมอย่างนี้อยู่ พอเราสมาศีลเสร็จพระท่านก็จะบอกอานิสงส์อย่างย่อให้ฟัง คือ สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโสธเย แปลเป็นไทยก็คือ ศีลเป็นเหตุให้ถึงสุคติ ศีลเป็นเหตุให้ได้โภคทรัพย์ ศีลเป็นเหตุให้ถึงพระนิพพาน เพราะฉะนั้นเราควรรักษาศีลให้บริสุทธิ์

ถ้าเราจะสมาทานศีลเองก็ให้สมาทานศีลหน้าหิ้งพระก็ได้ ตอนเช้าหรือเย็น กลางคืน ก่อนนอนแล้วแต่สะดวก หรือจะสมาทานทุกครั้งที่รู้ตัวว่าทำผิดศีลข้อนั้นๆก็ได้ โดยที่เราไม่ได้อยู่หน้าหิ้งพระได้เหมือนกันเพราะทุกอย่างอยู่ที่เจตนาของเราเองเป็นสำคัญ เพราะถ้าเรารับศีลกับพระก็ดีหรือสมาทานหน้าหิ้งพระก็ดี โดยที่ปากเราก็พูดไปงั้นๆ แต่ไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติจริงก้อไม่ได้ผลอะไร เพราะฉะนั้นทุกอย่างอยู่ที่เจตนาคือความตั้งใจที่จะประพฤติปฏิบัติรักษาศีลให้บริสุทธิ์นั่นคือหัวใจสำคัญ

เสริมอีกนิดน่ะครับเกี่ยวกับองค์ประกอบของศีลแต่ละข้อ  จากเรื่ององค์ประกอบของศีลนั้น   ทำให้ทราบว่า  ถ้าไม่ครบองค์ประกอบของศีล ไม่ถือว่า ศีลขาด เช่น การฆ่าสัตว์มีองค์ ๕ แต่ทำไปแค่องค์ ๔  อย่างนี้เรียกว่าศีลทะลุ  และถ้าลดหลั่นลงมาอีก ก็จะเรียกว่า ศีลด่าง ศีลพร้อย ตามลำดับ  นอกจากนี้ พระอรรถกถาจารย์ ยังได้แสดงหลักสำหรับวินิจฉัยว่า การละเมิดศีลแต่ละข้อจะมีโทษมากหรือน้อย นั้นขึ้นอยู่กับสิ่งต่อไปนี้ด้วย คือ

สำหรับศีลข้อที่ ๑ การฆ่าสัตว์ จะมีโทษมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ

๑. พิจารณาจากคุณประโยชน์  การฆ่าสัตว์ที่มีคุณมาก(เช่นสัตว์ที่เราเลี้ยงไว้ไถนา หรือพวกวัวนม ซึ่งพวกนี้ถือว่ามันให้คุณเรา) จะมีโทษมากกว่าการฆ่าสัตว์ที่มีคุณน้อยหรือไม่มีคุณ เช่น ฆ่าพระอรหันต์ มีโทษมากกว่าฆ่าปุถุชน ฆ่าสัตว์ที่ช่วยงานมีโทษมากกว่าฆ่าสัตว์ดุร้าย เป็นต้น
๒. ขนาดกายของสัตว์ก็สำคัญ สำหรับสัตว์ดิรัจฉานจำพวกที่ไม่มีคุณเหมือนกัน การฆ่าสัตว์ใหญ่ มีโทษมาก กว่าการฆ่าสัตว์เล็ก
๓. ความพยายาม มีความพยายามในการฆ่ามาก มีโทษมาก มีความพยายามน้อย มีโทษน้อย
๔. กิเลสหรือเจตนา กิเลสหรือเจตนาแรง มีโทษมาก กิเลสหรือเจตนาอ่อน มีโทษน้อย เช่น การฆ่าด้วยโทสะ หรือความเกลียดชัง มีโทษมากกว่าการฆ่าเพื่อป้องกันตัวอย่างงี้ก็มีโทษมาก


สำหรับศีลข้อที่ ๒ จะการลักทรัพย์ มีโทษมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ
๑. คุณค่าของทรัพย์สินสิ่งของนั้น
๒. คุณความดีของผู้เป็นเจ้าของทรัพย์นั้น
๓. ความพยายามในการลักทรัพย์นั้น


สำหรับศีลข้อที่ ๓ การประพฤติผิดในกาม จะมีโทษมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ
๑. คุณความดีของผู้ที่ถูกละเมิด
๒. ความแรงของกิเลส
๓. ความเพียรพยายามในการประพฤติผิดในกามนั้น


สำหรับศีลข้อที่ ๔ การพูดเท็จ มีโทษมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ
๑. ความเสียหายที่เกิดขึ้นว่ามากน้อยเพียงใด
๒. คุณความดีของผู้ที่ถูกละเมิด
๓. ผู้พูดนั้นเป็นใคร เช่น
- คฤหัสถ์ (ผุ้ครองเรือน) ที่โกหกว่า " ไม่มี " เพราะไม่อยากให้ของๆ ตน อย่างนี้มีโทษน้อย แต่การเป็นพยานเท็จมีโทษมาก
- บรรพชิต พูดเล่นมีโทษน้อย แต่การพูดว่าตน "รู้เห็น " ในสิ่งที่ตนไม่รู้ไม่เห็น  จึงมีโทษมาก


สำหรับศีลข้อที่ ๕ การดื่มน้ำเมา มีโทษมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ
๑. อกุศลจิต หรือกิเลสในการดื่ม
๒. ปริมาณที่ดื่ม
๓. ผลที่เกิดจากการกระทำผิดพลาด ชั่วร้าย ที่ตามมาจากการดื่มน้ำเมา

อย่างไรก็ตาม การละเมิดศีลในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นศีลขาด ศีลทะลุ ศีลต่าง หรือ ศีลพร้อย ล้วนแล้วแต่ทำให้ใจเราไม่บริสุทธิ์ หรือเรียกว่า “บาป”  เป็นหนทางสู่ประตูอบายภูมิ  ในการรักษาศีลที่ถูกต้องและบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นนั้น  ควรกระทำควบคู่กับการรักษากุศลกรรมบถ ๑๐  และตั้งใจว่า เราจะไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง  เราจะไม่ยุยงให้คนอื่นผิดศีล  และเมื่อเห็นคนอื่นผิดศีลแล้วเราจะไม่พลอยยินดี

หลักกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ดังนี้

๑. เว้นจากการฆ่าสัตว์ คือไม่ฆ่าสัตว์ นับตั้งแต่ฆ่าคนทั่วไป ฆ่าสัตว์ ที่มีคุณ และฆ่าสัตว์อื่นๆ
เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้ทุกคนรู้จักแก้ปัญหาโดยสันติวิธี ไม่ใช่โดยวิธีฆ่าอีกฝ่ายหนึ่งเสีย เพราะการฆ่านั้น ผู้ฆ่าย่อมเกิดความทารุณโหดร้ายขึ้นในใจ ทำให้ใจเศร้าหมอง และตนก็ต้องรับผลกรรมต่อไป และต้องคอยหวาดระแวงว่า ญาติพี่น้องเขาจะมาทำร้ายตอบ เป็นการแก้ปัญหา ซึ่งจะสร้างปัญหาอื่นๆ ต่อมาโดยไม่จบสิ้น

๒. เว้นจากการลักทรัพย์ คือไม่แสวงหาทรัพย์มาโดยทางทุจริต เช่น
ลัก = ขโมยเอาลับหลัง
ฉก = ชิงเอาซึ่งหน้า
กรรโชก = ขู่เอา
ปล้น = รวมหัวกันแย่งเอา
ตู่ = เถียงเอา
ฉ้อ = โกงเอา
หลอก = ทำให้เขาหลงเชื่อแล้วให้ทรัพย์
ลวง = เบี่ยงบ่ายลวงเขา
ปลอม = ทำของที่ไม่จริง
ตระบัด = ปฏิเสธ
เบียดบัง = ซุกซ่อนเอาบางส่วน
สับเปลี่ยน = แอบเปลี่ยนของ
ลักลอบ = แอบนำเข้าหรือออก
ยักยอก = เบียดบังเอาของในหน้าที่ตน
เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้ทุกคนทำมาหาเลี้ยงชีพโดยสุจริต ซึ่งจะทำให้ใช้ทรัพย์ได้เต็มอิ่ม ไม่ต้องหวาดระแวงว่าจะมีใครมาทวงคืน

๓. เว้นจากการประพฤติผิดในกาม คือไม่กระทำผิดในทางเพศ ไม่ลุอำนาจแก่ความกำหนัด เช่น การเป็นชู้กับสามีภรรยาคนอื่น การข่มขืน การฉุดคร่าอนาจาร
เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้ทุกคนมีจิตใจสูง เคารพในสิทธิของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เป็นการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม

๔. เว้นจากการพูดเท็จ คือต้องไม่เจตนาพูดให้ผู้ฟังเข้าใจผิดไปจากความเป็นจริง ซึ่งรวมถึงการทำเท็จให้คนอื่นหลงเชื่อรวม ๗ วิธีด้วยกัน คือ
พูดปด = โกหกซึ่งๆ หน้า
ทนสาบาน = อ้างสิ่งต่างๆ ทำให้ผู้อื่นหลงเชื่อ
ทำเล่ห์กระเท่ห์ = ทำกลอุบายหรือเงื่อนงำอันอาจทำให้คนอื่นหลงเข้าใจผิด
มารยา = เช่น เจ็บน้อยทำเป็นเจ็บมาก
ทำเลศ = ทำทีให้ผู้อื่นตีความคลาดเคลื่อนเอาเอง
เสริมความ = เรื่องนิดเดียวทำให้เห็นเป็นเรื่องใหญ่
อำความ = เรื่องใหญ่ปิดบังไว้ให้เป็นเรื่องเล็กน้อย
การเว้นจากพูดเท็จต่างๆ เหล่านี้ หมายถึง
- ไม่ยอมพูดคำเท็จเพราะเหตุแห่งตน กลัวภัยจะมาถึงตนจึงโกหก
- ไม่ยอมพูดคำเท็จเพราะเหตุแห่งคนอื่น รักเขาอยากให้เขาได้ ประโยชน์จึงโกหก หรือเพราะเกลียดเขา อยากให้เขาเสียประโยชน์จึงโกหก
- ไม่ยอมพูดเท็จเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้าง เช่น อยากได้ทรัพย์สินเงินทองสิ่งของ จึงโกหก
เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้ทุกคนมีความสัตย์จริง กล้าเผชิญหน้ากับความจริงเยี่ยงสุภาพชน ไม่หนีปัญหา หรือหาประโยชน์ใส่ตัวด้วยการพูดเท็จ

๕. เว้นจากการพูดส่อเสียด คือไม่เก็บความข้างนี้ไปบอกข้างโน้น เก็บความข้างโน้นมาบอกข้างนี้ ด้วยเจตนาจะยุแหย่ให้เขาแตกกัน ควรกล่าวแต่ถ้อยคำที่ทำให้เกิดความสมัครสมานสามัคคี
เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการไม่ให้คนเราหาความชอบด้วยการประจบสอพลอ ไม่เป็นบ่างช่างยุ ต้องการให้หมู่คณะสงบสุขสามัคคี

๖. เว้นจากการพูดคำหยาบ คือไม่พูดคำซึ่งทำให้คนฟังเกิดความระคายใจ และส่อว่าผู้พูดเองเป็นคนมีสกุลต่ำ ได้แก่
คำด่า = พูดเผ็ดร้อน แทงหัวใจ พูดกดให้ต่ำ
คำประชด = พูดกระแทกแดกดัน
คำกระทบ = พูดเปรียบเปรยให้เจ็บใจเมื่อได้คิด
คำแดกดัน = พูดกระแทกกระทั้น
คำสบถ = พูดแช่งชักหักกระดูก
คำหยาบโลน = พูดคำที่สังคมรังเกียจ
คำอาฆาต = พูดให้หวาดกลัวว่าจะถูกทำร้าย
เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้ทุกคนเป็นสุภาพชน รู้จักสำรวมวาจาของตน ไม่ก่อความระคายใจแก่ผู้อื่นด้วยคำพูด

๗. เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ คือไม่พูดเหลวไหล ไม่พูดพล่อยๆ สักแต่ ว่ามีปากอยากพูดก็พูดไปหาสาระมิได้ แต่พูดถ้อยคำที่มีสาระ มีหลักฐาน มีที่อ้างอิง ถูกกาลเวลา มีประโยชน์
เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้ทุกคนมีความรับผิดชอบต่อถ้อยคำของตน

๘. ไม่โลภอยากได้ของเขา คือไม่เพ่งเล็งที่จะเอาทรัพย์ของคนอื่นในทางทุจริต
เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้คนเราเคารพในสิทธิข้าวของของผู้อื่น มีจิตใจสงบไม่ฟุ้งซ่านไหวกระเพื่อมไปเพราะความอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่น ทำให้มีใจผ่องแผ้ว มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ พร้อมที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม

๙. ไม่พยาบาทปองร้ายเขา คือไม่ผูกใจเจ็บ ไม่คิดอาฆาตล้างแค้น ไม่จองเวร มีใจเบิกบาน แจ่มใสไม่ขุ่นมัว ไม่เกลือกกลั้วด้วยโทสะจริต
เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้คนเรารู้จักให้อภัยทาน ไม่คิดทำลาย ทำให้จิตใจสงบผ่องแผ้ว เกิดความคิดสร้างสรรค์

๑๐. ไม่เห็นผิดจากคลองธรรม คือไม่คิดแย้งกับหลักธรรม เช่น มีความเห็นที่เป็น สัมมาทิฏฐิพื้นฐาน ๘ ประการ คือ
๑. เห็นว่าการให้ทานดีจริง ควรทำ
๒. เห็นว่าการบูชาบุคคลที่ควรบูชาดีจริง ควรทำ
๓. เห็นว่าการต้อนรับแขกมีผล ควรทำ
๔. เห็นว่าผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วมีจริง
๕. เห็นว่าโลกนี้โลกหน้ามีจริง
๖. เห็นว่าบิดามารดามีพระคุณต่อเราจริง
๗. เห็นว่าสัตว์ที่เป็นโอปปาติกะมีจริง (นรกสวรรค์มีจริง)
๘. เห็นว่าสมณพราหมณ์ที่หมดกิเลสแล้วมีจริง

หมายเหตุ ข้อ ๕ อาจแยกเป็น โลกนี้มีจริง ๑- โลกหน้ามีจริง ๑
ข้อ ๖ อาจแยกเป็น บิดามีพระคุณจริง ๑ มารดามีพระคุณจริง ๑
ซึ่งถ้าแยกแบบนี้ก็จะรวมได้เป็น ๑๐- ข้อ แต่เนื้อหาเหมือนกัน
เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้คนเรามีพื้นใจดี มีมาตรฐานความคิดที่ถูกต้อง ยึดถือค่านิยมที่ถูกต้อง มีวินิจฉัยถูก มีหลักการ มีแนวความคิดที่ถูกต้อง ส่งผลให้ความคิดในเรื่องอื่น ถูกต้องตามไปด้วย


"เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้สักอย่าง ซึ่งจะเป็นเหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดได้เกิดขึ้น หรือกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เพิ่มพูนไพบูลย์ยิ่งขึ้นเหมือนอย่างสัมมาทิฏฐินี้เลย" องฺ. เอก. ๒๐/๑๘๒/๔๐

คุณธรรมทั้ง ๑๐ ประการนี้ คนทุกคนจำเป็นต้องฝึกให้มีในตน โดยเฉพาะผู้นำ ผู้ที่จะบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคมส่วนรวม จะต้องฝึกให้มีในตนอย่างเต็มที่ จึงจะทำงานได้ผลดี

โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักปฏิบัติที่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้ตนเองพ้นทุกข์นั้น   จะต้องมีการรักษาศีลของตนให้สะอาดบริสุทธิ์อยู่เสมอ   เมื่อศีลบริสุทธิ์แล้ว จะมีความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติ  และเข้าสู่กระแสของมรรค ผล นิพพานในที่สุด

มหาทาน ๕
ทานที่ยิ่งใหญ่ ลงทุนน้อย ได้ผลมาก มี ๕ ประการ คือ
๑. เว้นจากปาณาติบาต คือ เว้นจากการฆ่าสัตว์ เท่ากับให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตสัตว์ทั้งหลาย
๒. เว้นจากอทินนาทาน คือ เว้นจากการลักทรัพย์เท่ากับให้ความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของผู้อื่น
๓. เว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร คือ เว้นประพฤติผิดในกามเท่ากับให้ความบริสุทธิ์กับภรรยา ธิดา และตนเอง
๔. งดเว้นจากมุสาวาท คือ เว้นจากการพูดปด พูดไม่จริง เท่ากับให้ความจริงแก่ผู้อื่น
๕. งดเว้นจากสุรา-เมรัย ไม่เสพ ไม่ดื่ม เท่ากับให้ความปลอดภัยแก่ตนเองและผู้อื่น

พุทธพจน์
ในการสมาทานศีล ๕ รักษาศีล ๕ ไว้ได้นั้นภูมิจิตจะยกสูงขึ้นสู่โสดาปัตติผล
พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า...
" แม้เพียงโสดาปัตติผลเท่านั้นยังประเสริฐกว่าความเป็นเอกราชในแผ่นดิน ประเสริฐกว่าการกำเนิดเป็นเทพในสวรรค์ ประเสริฐกว่าความเป็นใหญ่ในโลกทั้งปวง เมื่อเป็นดังนี้ จะกล่าวไปใยถึง อรหัตผล เล่าว่า....มีผลเลิศเพียงใด "
พระพุทธองค์เทศนาให้พระเจ้าอชาตศัตรูฟัง ว่า......
ภายหลังพระราชบิดาและพระราชมารดาสิ้นพระชนม์แล้ว ได้ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกในการสังคายนาร้อยกรองพระธรรมวินัยครั้งแรก ภายหลังพุทธปรินิพพาน
เมื่อศีล ๕ ทำให้ผู้ประพฤติ ประเสริฐกว่าเทพในสวรรค์ ประเสริฐกว่าความเป็นใหญ่ในโลกทั้งปวง เราควรจะสมาทานศีลห้ารักษาศีลห้าไว้ให้ได้ เมื่อสิ้นอายุขัยแล้วจะได้ไปอุบัติในโลกสวรรค์ ในเทวภูมิ ๖ ภูมินั้น ด้วยกำลังอำนาจของศีล

สมบัติที่หาได้ยาก
(คัดจากพระไตรปิฎก)

๑. คติสมบัติ คือการได้อัตภาพมาเป็นมนุษย์เป็นของยาก
๒.กาลสมบัติ การได้เกิดมาในเวลาที่มีคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นของยาก
๓. ปเทสสมบัติ คือการได้อยู่ในประเทศที่มีพระพุทธศาสนาเป็นของยาก
๔. กุลสมบัติ คือ การได้อยู่ในตระกูลหรือกลุ่มที่เลื่อมใสพระพุทธศาสนาเป็นของยาก
๕. อุปธิสมบัติ คือ การได้อัตภาพบริบูรณ์ไม่พิการ บ้า ใบ้ บอด หนวกเป็นของยาก
๖. ทิฏฐิสมบัติ คือการที่เป็นผู้ที่มีความเห็นถูกต้อง คือ เป็นสัมมาทิฏฐิเป็นของยาก
ใครได้สมบัติครบ ๖ ประการ นี้แล้วได้ชื่อว่าเป็นผู้มีบุญมาก มีวาสนาดี มีกองทุนชีวิตที่สมบูรณ์


ว่ากันมาซะยืดยาวเลยครับหวังว่าคงเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านน่ะครับ ถ้าเรารู้ว่าดี ผมอยากจะให้ทุกคนช่วยกันเผยแพร่ข้อความดีๆเหล่านี้ ให้คนในวงกว้างได้รู้จัก คนในสังคมเราจะได้มีแต่ดีๆไงครับ คงจะจบไว้แค่นี้น่ะครับ มีอะไรดีๆจะมาเล่าให้ฟังใหม่ครับ

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูลเป็นอย่างสูงครับ

http://www.dhammakaya.org/forum/index.php?topic=342.0 (เพิ่มเติมข้อความบางส่วนเพื่อความสมบูรณ์)

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2559

วิธีพิจารณาเพื่อกำจัดอกุศลวิตกตามลำดับ

นิทเทศแห่งมัคคอริยสัจ

นิทเทศ ๑๕ ว่าด้วยสัมมาสังกัปปะ
หมวด ง. ว่าด้วย หลักการปฏิบัติ ของสัมมาสังกัปปะ
 
วิธีพิจารณาเพื่อกำจัดอกุศลวิตกตามลำดับ

ภิกษุ ท ! ภิกษุผู้ประกอบฝึกฝนเพื่อบรรลุอธิจิต พึงกระทำในใจ ถึง นิมิต ๕
ประการ ตามเวลาอันสมควร. ห้าประการ อย่างไรเล่า? ห้าประการ คือ :-


ประการที่๑


ภิกษุ ท ! เมื่อภิกษุในกรณีนี้ อาศัยนิมิตใด กระทำในใจซึ่งนิมิตใดอยู่ อกุศล
วิตกอันเป็นบาปที่ประกอบอยู่ด้วยฉันทะบ้าง ประกอบอยู่ด้วยโทสะบ้าง ประกอบ
อยู่ด้วยโมหะบ้าง ได้บังเกิดขึ้น, ภิกษุนั้น พึงละนิมิตนั้นเสียกระทำในใจซึ่งนิมิตอื่น
อันประกอบอยู่ด้วยกุศล. เมื่อภิกษุนั้นกระทำในใจถึงนิมิตอื่นนอกไปจากนิมิตนั้น
อันประกอบอยู่ด้วยกุศลอยู่, อกุศลวิตกอันเป็นบาปที่ประกอบอยู่ด้วยฉันทะบ้าง
ประกอบอยู่ด้วยโทสะบ้าง ประกอบอยู่ด้วยโมหะบ้าง เหล่านั้น ย่อมละไป ย่อมถึงซึ่ง
การตั้งอยู่ไม่ได้. เพราะละเสียได้ซึ่งอกุศลวิตกเหล่านั้น จิตของเธอก็ตั้งอยู่ด้วยดี
สงบรำงับอยู่ด้วยดี เป็นธรรมเอกผุดมีขึ้น เป็นสมาธิอยู่ ในภายในนั่นเทียว.

ภิกษุ ท ! เปรียบเหมือนช่างทำแผ่นไม้กระดาน หรือลูกมือของ เขา ผู้ฉลาด
ตอก โยก ถอนลิ่มอันใหญ่ออกเสียได้ ด้วยลิ่มอันเล็ก นี้ฉันใด ; ภิกษุ ท ! ข้อนี้ก็ฉัน
นั้นเหมือนกัน (ภิกษุนั้นอาศัยนิมิตแห่งกุศล เพื่อละเสียซึ่งนิมิตแห่งอกุศล ทำจิตให้เป็นสมาธิได้).


ประการที่ ๒

ภิกษุ ท ! ถ้าแม้ภิกษุนั้น ละนิมิตนั้นแล้ว กระทำในใจซึ่งนิมิตอื่น อัน
ประกอบด้วยกุศลอยู่ อกุศลวิตกอันเป็นบาป ซึ่งประกอบอยู่ด้วยฉันทะบ้าง ด้วย
โทสะบ้าง ด้วยโมหะบ้าง ก็ยังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้นอยู่นั่นเอง ดังนี้แล้วไซร้ ภิกษุนั้น พึง
เข้าไปใคร่ครวญซึ่งโทษแห่งอกุศลวิตกเหล่านั้น ว่า "วิตกเหล่านี้เป็นอกุศล" ดังนี้บ้าง
"วิตกเหล่านี้ ประกอบไปด้วยโทษ" ดังนี้บ้าง "วิตกเหล่านี้ มีทุกข์เป็นวิบาก" ดังนี้
บ้าง. เมื่อภิกษุนั้นใคร่ครวญซึ่งโทษแห่งอกุศลวิตกเหล่านั้นอยู่, อกุศลวิตกอันเป็น
บาปที่ประกอบอยู่ด้วยฉันทะบ้าง ด้วยโทสะบ้าง ด้วยโมหะบ้าง เหล่านั้น ย่อมละไป
ย่อมถึงซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้เพราะการละเสียซึ่งอกุศลวิตกเหล่านั้น จิตของเธอก็ตั้งอยู่
ด้วยดี สงบรำงับอยู่ด้วยดี เป็นธรรมเอกผุดมีขึ้น เป็นสมาธิอยู่ในภายในนั่นเทียว.

ภิกษุ ท ! เปรียบเหมือนหญิงสาวหรือชายหนุ่ม ชอบการประดับ ตกแต่ง เมื่อ
ถูกเขาเอาซากงู ซากสุนัข หรือซากคน มาแขวนเข้าที่คอ ก็จะรู้สึกอึดอัด ระอา
ขยะแขยง นี้ฉันใด ; ภิกษุ ท ! ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน(ที่ภิกษุนั้นอึดอัด ระอา ขยะแขยง ต่อ
โทษของอกุศลวิตกอยู่).


ประการที่ ๓


ภิกษุ ท ! ถ้าแม้ภิกษุนั้น ใคร่ครวญซึ่งโทษ แห่งอกุศลวิตก เหล่านั้นอยู่,
อกุศลวิตกอันเป็นบาป ที่ประกอบอยู่ด้วยฉันทะบ้าง ด้วยโทสะบ้าง ด้วยโมหะบ้าง ก็
ยังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้นอยู่นั่นเอง ดังนี้แล้วไซร้, ภิกษุนั้น อย่าพึงระลึกถึง อย่าพึง
กระทำไว้ในใจซึ่งอกุศลวิตกเหล่านั้น. เมื่อภิกษุนั้นไม่ระลึกถึง ไม่กระทำไว้ในใจซึ่ง
อกุศลวิตกเหล่านั้น อยู่, อกุศลวิตกอันเป็นบาปที่ประกอบอยู่ด้วยฉันทะบ้าง ด้วย
โทสะบ้าง ด้วยโมหะบ้าง เหล่านั้น ย่อมละไป ย่อมถึงซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะละ
เสียได้ซึ่งอกุศลวิตกเหล่านั้น จิตของเธอก็ตั้งอยู่ด้วยดี สงบรำงับอยู่ด้วยดี เป็นธรรม
เอกผุดมีขึ้น เป็นสมาธิอยู่ในภายในนั่นเทียว.

ภิกษุ ท ! เปรียบเหมือนบุรุษมีตา แต่ไม่ต้องการจะเห็นรูปอันมา สู่คลองแห่ง
จักษุ เขาก็จะหลับตาเสีย หรือจะเหลียวมองไปทางอื่นเสีย นี้ฉันใด ; ภิกษุ ท ! ข้อนี้
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน (ที่ภิกษุนั้นจะไม่ทำการระลึกถึง ไม่กระทำไว้ในใจถึงอกุศลวิตกเหล่านั้น).


ประการที่ ๔


ภิกษุ ท ! ถ้าแม้ภิกษุนั้น ไม่ระลึกถึง ไม่กระทำไว้ในใจซึ่งอกุศล วิตกเหล่านั้น
อยู่อย่างนี้ อกุศลวิตกอันเป็นบาป ซึ่งประกอบอยู่ด้วยฉันทะบ้าง ด้วยโทสะบ้าง ด้วย
โมหะบ้าง ก็ยังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้นอยู่นั่นเอง ดังนี้แล้วไซร้,ภิกษุนั้น พึง กระทำในใจ
ซึ่งรูปพรรณสัณฐานแห่งการปรุงแต่งแห่งวิตก ของอกุศลวิตกทั้งหลายเหล่านั้น. เมื่อ
ภิกษุนั้น กระทำในใจซึ่งรูปพรรณสัณฐานแห่งการปรุงแต่งแห่งวิตก ของอกุศลวิตก
ทั้งหลายเหล่านั้นอยู่, อกุศลวิตกอันเป็นบาปที่ประกอบอยู่ด้วยฉันทะบ้าง ด้วยโทสะ
บ้าง ด้วยโมหะบ้าง เหล่านั้น ย่อมละไป ย่อมถึงซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้. เพราะละเสียได้
ซึ่งอกุศลวิตกเหล่านั้น จิตของเธอก็ตั้งอยู่ด้วยดี สงบรำงับอยู่ด้วยดี เป็นธรรมเอกผุด
มีขึ้น เป็นสมาธิอยู่ในภายในนั่นเทียว.

ภิกษุ ท ! เปรียบเหมือนบุรุษเดินเร็วๆ แล้วฉุกคิดว่า เราจะเดินเร็วๆ ไปทำไม
เดินค่อยๆดีกว่า เขาก็เดินค่อยๆ แล้วฉุกคิดว่า จะเดินค่อยๆไปทำไม ยืนเสียดีกว่า เขา
ก็ยืน แล้วฉุกคิดว่าจะยืนไปทำไม นั่งลงเสียดีกว่า เขาก็นั่งลง แล้วก็ฉุกคิดว่า จะนั่งอยู่
ทำไม นอนเสียดีกว่า เขาก็นอน : ภิกษุ ท ! อย่างนี้แหละที่บุรุษนั้นเปลี่ยนอิริยาบถ
หยาบๆ มาเป็นอิริยาบถละเอียดๆ นี้ฉันใด ; ภิกษุ ท ! ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน (ที่ภิกษุ
นั้น พิจารณารูปพรรณสัณฐานแห่งการปรุงแต่งแห่งวิตกไปตามลำดับๆ).

ประการที่ ๕

ภิกษุ ท ! ถ้าแม้ภิกษุนั้น กระทำในใจซึ่งรูปพรรณสัณฐานแห่ง การปรุงแต่ง
แห่งวิตก ของอกุศลวิตกทั้งหลายเหล่านั้นอยู่อย่างนี้ อกุศลวิตกอันเป็นบาปที่
ประกอบอยู่ด้วยฉันทะบ้าง ด้วยโทสะบ้าง ด้วยโมหะบ้าง ก็ยังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้นอยู่
นั่นเอง ดังนี้แล้วไซร้, ภิกษุนั้น พึงขบฟันด้วยฟัน จรดเพดานด้วยลิ้น ขม่ ขี่จิตด้วย
จิต บีบบังคับจิตด้วยจิต เผาจิตด้วยจิต ให้เป็นอย่างยิ่ง. เมื่อภิกษุนั้นกระทำอยู่ดังนี้
อกุศลวิตกอันเป็นบาปที่ประกอบอยู่ด้วยฉันทะบ้าง ด้วยโทสะบ้าง ด้วยโมหะบ้าง
เหล่านั้นย่อมละไป ย่อมถึงซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้.เพราะละเสียได้ซึ่งอกุศลวิตกเหล่านั้น
จิตของเธอก็ตั้งอยู่ด้วยดี สงบรำงับอยู่ด้วยดี เป็นธรรมเอกผุดมีขึ้น เป็นสมาธิอยู่ ใน
ภายในนั่นเทียว.

ภิกษุ ท ! เปรียบเหมือนบุรุษแข็งแรง จับบุรุษอ่อนแอที่ศีรษะที่คอ หรือที่ลำตัว
แล้วข่มขี่ บีบคั้น ทำให้เร่าร้อนเป็นอย่างยิ่ง นี้ ฉันใด ; ภิกษุ ท ! ข้อนี้ ก็ฉันนั้น
เหมือนกัน (ที่ภิกษุนั้น ข่มจิตด้วยจิต บีบบังคับจิตด้วยจิต เผาจิตด้วยจิต ให้เป็นอย่างยิ่ง).


ผลสำเร็จแห่งการกำจัดอกุศลวิตก

ภิกษุ ท ! ในกาลใดแล เมื่อภิกษุอาศัยนิมิตใด กระทำในใจซึ่ง นิมิตใดอยู่
อกุศลวิตกอันเป็นบาปที่ประกอบอยู่ด้วยฉันทะบ้าง ประกอบอยู่ด้วยโทสะบ้าง
ประกอบอยู่ด้วยโมหะบ้าง ได้บังเกิดขึ้น. เมื่อภิกษุนั้นละนิมิตนั้นกระทำในใจซึ่ง
นิมิตอื่นอันประกอบด้วยกุศลอยู่ , อกุศลวิตกอันเป็นบาปที่ประกอบอยู่ด้วยฉันทะ
บ้าง ด้วยโทสะบ้าง ด้วยโมหะบ้าง เหล่านั้น ย่อมละไป ย่อมถึงซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้.
เพราะละเสียได้ซึ่งอกุศลวิตกเหล่านั้น จิตของเธอก็ตั้งอยู่ด้วยดี สงบรำงับอยู่ด้วยดี
เป็นธรรมเอกผุดมีขึ้น เป็นสมาธิอยู่ในภายใน นั่นเทียว.

เมื่อภิกษุนั้น ใคร่ครวญซึ่งโทษแห่งอกุศลวิตกเหล่านั้นอยู่, อกุศล วิตกอัน
เป็นบาปที่ประกอบอยู่ด้วยฉันทะบ้าง ด้วยโทสะบ้าง ด้วยโมหะบ้าง เหล่านั้น ย่อมละ
ไป ย่อมถึงซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้. เพราะการละเสียได้ซึ่งอกุศลวิตกเหล่านั้น จิตของเธอ
ก็ตั้งอยู่ด้วยดี สงบรำงับอยู่ด้วยดี เป็นธรรมเอกผุดมีขึ้นเป็นสมาธิอยู่ ในภายในนั่น
เทียว.

เมื่อภิกษุนั้น ไม่ระลึกถึง ไม่กระทำไว้ในใจ ซึ่งอกุศลวิตกเหล่านั้น อยู่, อกุศล
วิตกอันเป็นบาปที่ประกอบอยู่ด้วยฉันทะบ้าง ด้วยโทสะบ้าง ด้วยโมหะบ้าง เหล่านั้น
ย่อมละไป ย่อมถึงซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้. เพราะละเสียได้ซึ่งอกุศลวิตกเหล่านั้น จิตของ
เธอก็ตั้งอยู่ด้วยดี สงบรำงับอยู่ด้วยดี เป็นธรรมเอกผุดมีขึ้น เป็นสมาธิอยู่ ในภายใน
นั่นเทียว.

เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจซึ่งรูปพรรณสัณฐานแห่งการปรุงแต่งแห่งวิตก ของ
อกุศลวิตกเหล่านั้นอยู่, อกุศลวิตกอันเป็นบาปที่ประกอบอยู่ด้วยฉันทะบ้าง ด้วย
โทสะบ้าง ด้วยโมหะบ้าง เหล่านั้น ย่อมละไป ย่อมถึงซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้เพราะละ
เสียได้ซึ่งอกุศลวิตกเหล่านั้น จิตของเธอก็ตั้งอยู่ด้วยดี สงบรำงับอยู่ด้วยดี เป็นธรรม
เอกผุดมีขึ้น เป็นสมาธิอยู่ในภายในนั่นเทียว.

เมื่อภิกษุนั้น ขบฟันด้วยฟัน จรดเพดานด้วยลิ้น ข่มขี่จิตด้วยจิต บีบบังคับจิต
ด้วยจิต เผาจิตด้วยจิต ให้เป็นอย่างยิ่งอยู่, อกุศลวิตกอันเป็นบาป ที่ประกอบอยู่ด้วย
ฉันทะบ้าง ด้วยโทสะบ้าง ด้วยโมหะบ้าง เหล่านั้น ย่อมละไปย่อมถึงซึ่งการตั้งอยู่
ไม่ได้. เพราะละเสียได้ซึ่งอกุศลวิตกเหล่านั้น จิตของเธอก็ตั้งอยู่ด้วยดี สงบรำงับอยู่
ด้วยดี เป็นธรรมเอกผุดมีขึ้น เป็นสมาธิอยู่ในภายในนั่นเทียว.
ภิกษุ ท ! ภิกษุนี้ เรากล่าวว่า เป็นผู้มีอำนาจในคลองแห่งชนิด ต่างๆของวิตก :
เธอประสงค์จะตรึกถึงวิตกใด ก็ตรึกถึงวิตกนั้นได้ ไม่ประสงค์จะตรึงถึงวิตกใด ก็ไม่
ตรึกถึงวิตกนั้นได้ เธอนั้น ได้ตัดตัณหาขาดแล้ว รื้อถอนสังโยชน์แล้ว ได้กระทำที่สุด
แห่งทุกข์แล้วเพราะรู้เฉพาะซึ่งมานะโดยชอบ แล.


-มู.ม. ๑๒/๒๔๑ - ๒๔๖/๒๕๗ - ๒๖๒.
ที่มา: อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคปลาย