หน้าเว็บ

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ธรรมอันเป็นเครื่องปิดกั้นมรรคผล หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ



  
ธรรมอันเป็นเครื่องปิดกั้นมรรคผล


สิ่งที่เป็นอันตรายสามารถปิดกั้นมรรคผลในปัจจุบันชาติที่ผู้ปฏิบัติควรทราบได้แก่

๑.วิติกกมันตราย
คือ การที่ภิกษุต้องอาบัติแล้วยังไม่ได้แสดงตามกรรมวิธีของธรรมวินัยเพื่อออกจากอาบัตินั้น รวมถึงกรณีภิกษุผู้ต้องปาราชิกอันเป็นอาบัติขั้นสูงสุดขาดจากความเป็นภิกษุ ซึ่งปาราชิกบุคคลนี้ ธรรมท่านกล่าวว่าเป็นบุคคลที่หมดโอกาสบรรลุมรรคผลในปัจจุบันชาติทีเดียว

๒.วิปากันตราย
คือ ผลของกรรมที่ทำไว้แต่อดีตชาติส่งผลให้เกิดเป็นผู้อาภัพ อาทิ เป็นคนบ้าใบ้ เสียจริต หรือส่งผลให้เกิดในภพภูมิที่อาภัพต่อมรรคผล มี เปรต อสุรกาย และ สัตว์เดรัจฉานเป็นต้น

๓.กัมมันตราย
คือ ผู้ทำกรรมหนักขั้นอนันตริยกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง มี
ฆ่าบิดา-มารดา ๑
ฆ่าพระอรหันต์ ๑
ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงห้อพระโลหิต ๑
ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน (สังฆเภท) ๑
อนันตริยกรรมนี้ นอกจากห้ามมรรค (มัคคาวรณ์) แล้วยังห้ามสวรรค์ (สัคคาวรณ์) อีกด้วย คือผู้ทำกรรมนี้แม้เคยทำบุญกุศลมาแก่ แต่อนันตริยกรรมจะเข้าขวางไม่ให้กุศลกรรมส่งผลได้ จำต้องตกนรกไปเสวยผลอนันตริยกรรมนั้นๆ เสียก่อน

๔.อริยุปวาทกรรม
คือ กรรมจากการด่าว่าพระอริยเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการด่าว่าจ้วงจาบหยาบคายหรือดูถูกดูหมิ่นคุณธรรมความสามารถของท่าน ผู้ปฏิบัติธรรมพึงระวังอย่าได้ทำกรรมอันนี้ โดยสำรวมระวังไม่พูดจาด้วยความคะนอง หรือติเตียนผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เนื่องจากปุถุชนผู้ยังมีสตปัญญาไม่สมบูรณ์ ยากจะทราบได้ว่าพระโยคาวจรผู้ปฏิบัติท่านนั้นๆ ทรงคุณธรรมขั้นใด การสำรวมระวังนี้ ควรจะสำรวมระวังไปถึงมโนกรรมคือความคิดด้วยจะปลอดภัยดี

ในความเข้าใจของผู้เขียน ผู้ที่ทำอริยุปวาทกรรม หากสำนึกผิดทันเวลาก่อนที่กรรมจะส่งผล ยังมีโอกาสขอขมาให้เป็นอโหสิกรรม หรือ ถ้าไม่สามารถเป็นอโหสิกรรม ก็ช่วยลดความรุนแรงในผลกรรมนั้น ซึ่งการขอขมาโทษอรรถกถาจารย์ท่านได้แสดงวิธีต่างๆ ไว้ดังนี้ (วิมุติรัตนมาลี, พระศรีวิสุทธิโสภณ (วิลาศ ญาณวโร)

- ถ้าท่านผู้นั้นมีชีวิตอยู่ ให้ไปขอขมาโทษต่อท่านโดยตรง
- ถ้าท่านผู้นั้นมรณภาพหรือสิ้นชีวิตแล้ว ให้ไปขอขมาต่ออัฐิหรือกระดูกท่าน
- ถ้าท่านผู้นั้นมรณภาพหรือสิ้นชีวิตแล้ว และไม่อาจหาอัฐิหรือกระดูกท่านได้ ให้ทำพิธีขอขมาโทษต่อหน้าพระพุทธรูป

ธรรม ๔ อย่าง อันเป็นอันตรายต่อมรรคผลนี้ บางตำราเรียกว่า "อันตรายิกธรรม"

มีอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ได้กล่าวไว้ใน ๔ ข้อแรก แต่สิ่งนี้ถ้าเป็นประเภทร้ายแรงก็สามารถปิดกั้นมรรคผล หรือเอื้ออำนวยให้ทำอันตรายิกรรมได้ง่ายเข้า สิ่งนั้นก็คือความเห็นผิด หรือ มิจฉาทิฐิบางประเภท

มิจฉาทิฐิมีหลายประเภท บางประเภทห้ามมรรค ไม่ห้ามสววรค์ บางประเภทห้ามทั้งมรรค ห้ามทั้งสวรรค์ บางประเภทไม่ห้ามทั้งมรรคและสวรรค์ ซึ่งจะขอยกตัวอย่างโดยสังเขป ดังนี้

มิจฉาทิฐิที่ห้ามทั้งสวรรค์และมรรค เช่น

- ความเห็นที่ว่าบาปไม่มี บุญไม่มี สวรรค์ไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างสิ้นสุดลงที่ความตาย ไม่จำเป็นต้องทำบุญเพื่อไปสวรรค์ ไม่ต้องทำสิ่งที่เชื่อถือว่าจะอำนวยซึ่งความสุขในชาติหน้า

- มิจฉาทิฐิ ๒๐ มีเห็นว่ารูปเป็นตน เห็นว่าตนเป็นรูป เห็นตนในรูป เป็นต้น เป็นการเห็นผิดลักษณะ ๔ อย่างในขันธ์ทั้ง ๕ รวมเป็น ๒๐ เหล่านี้ไม่ห้ามทั้งสวรรค์และมรรค (พุทธปรัชญาเบื้องต้น, อ.สุวรรณ เพชรนิล)

เรื่องมิจฉาทิฐินี้ ยังมีอีกมากมายหลายประเภท รวมถึงความเห็นวิปริตต่างๆ บางกรณีเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เช่น การหลงศีล หลวงวัตร หลงหลักปฏิบัติ จนกลายเป็นทิฐิวิปลาส ซึ่งหากยังไม่ละทิฐินี้ ย่อมให้ผลหนักเบาตามลำดับความเห็นผิดนั้นๆ ผุ้ปฏิบัติต้องใช้ปัญญาพิจารณาตรวจสอบด้วยดีก่อนจะลงความเห็นและปฏิบัติไป พึงศึกษาจากผู้รู้และเทียบเคียงก่อน อย่านำความรู้ความเห้นด้านเดียวไปปฏิบัติโดยไม่พิจารณาไตร่ตรองเพราะเรื่องทิฐินี้เป็นสิ่งสำคัญมาก ในมรรค ๘ ได้กล่าวถึงสัมมาทิฐิ อันเป็นเรื่องของปัญญาไว้ข้อแรก และเป็นข้อสำคัญที่สุดในองค์มรรคด้วย ผู้ปฏิบัติอย่างได้มองข้ามไป พึงพยายามยกระดับจิตให้เป็นสัมมาทิฐิเสียก่อนเพราะถ้ามีสัมมาทิฐิแล้ว การปฏิบัติทั้งหมดก็จะเป็นไปโดยความถูกต้องชอบธรรม รู้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดไม่เป็นประโยชน์ แต่ถ้าหากใจยังไม่เป็นสัมมาทิฐิเป็นอันดับแรกแล้ว แม้จะทำสมาธิภาวนาโดยรูปแบบภายนอก หรือ มีการปฏิบัติเคร่งครัดทางกายวาจา หรือข้อวัตรก็จะไม่สำเร็จประโยชน์เท่าที่ควร ซ้ำร้ายบางครั้งการปฏิบัติที่ขาดปัญญา สัมมาทิฐิเป็นแกนนำนั้น อาจพาให้มีความรู้ความเห็นผิด ๆ แผลงๆ อันจะเป็นเหตุก่อทุกข์ ก่อโทษแก่ตนและผู้อื่นอย่างคาดไม่ถึงก็ได้
เรื่องของธรรมอันเป็นเครื่องปิดกั้นมรรคผล ก็ขอยุติเพียงนี้


แหล่งข้อมูล : หนังสือ ไตรรัตน์ ๓ หลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ พระผู้จุดประทีป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น