ทำอย่างไรเมื่อเกิดปัญหาแแบบไม่ทันตั้งตัว
ถ้าเป็นปัญหาเล็กๆคงไม่ต้องไปจริงจังมากนัก
แต่บางครั้งปัญหาเข้ามาหาเราโดยที่ไม่ทันตั้งตัวและยากที่จะตัดสินใจ
นี่คือจุดมุ่งหมายที่จะกล่าวถึงวิธีรับมือและจัดการกับปัญหาให้ทุเลาเบาบางหรือหมดสิ้นไป
จนถึงพบความจริงในชิวิต
เมื่อมีทุกข์เกิดขึ้นและหาทางออกไม่ได้
ขั้นแรก ให้ฟังเพลงที่มีทำนองช้าๆ เย็นๆ
อาจจะเป็นเพลงสวดมนต์ต่างๆหรือเพลงบรรเลงก็ได้ จะทำให้อารมณ์และความเครียดลดลง
แต่ไม่ควรทำเกิน ๑ เดือน เพราะปัญหายังคงอยู่
ขั้นต่อไป ให้หาธรรมคำเทศนาของครูบาอาจารย์มาฟัง มาอ่าน คำเทศนาบางบทบางตอนอาจจะมาสะกิดเตือนให้เรามีสติ
สามารถหาทางออกของปัญหาได้
ธรรมคำสอนแม้เป็นเนื้อหาเดิมแต่ความเข้าใจในเนื้อหานั้นอาจไม่เหมือนเดิมยิ่งฟังจะยิ่งเข้าใจลึกซึ้งในข้อธรรมคำสั่งสอนมากขึ้น
ขั้นต่อไป ให้คิดพิจารณาเรื่องราวหรือปัญหาต่างๆ
ลงเป็นไตรลักษณ์ ทุกครั้งที่นึกถึงปัญหาให้คิดกำกับลงไปทุกครั้งว่าสิ่งต่างๆนั้นมันไม่เที่ยง
ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เราเลยไม่สามารถให้มันเป็นไปตามที่เราต้องการได้ ตัวอย่างเช่น
ผิดหวังเรื่องความรัก ก็ให้คิดว่า เขาคนนั้นไม่ใช่ของของเรา เขาไม่จากเราวันนี้ วันหนึ่งก็ต้องจากกัน แม้จะอยู่ไปจนแก่เฒ่าสุดท้ายก็ต้องจากกันอยู่ดี
เมื่อเป็นเช่นนี้เราไม่ควรจะยึดว่าเขาเป็นของเรา จะต้องอยู่กับเราไปตลอด ไม่ว่า
รัก เกลียด โกรธ ผิดหวัง สมหวัง ทุกๆสิ่งไม่มีอะไรเที่ยง
ไม่มีใครครอบครองเป็นเจ้าของได้ตลอด และไม่มีอะไรที่คงทนอยู่ได้โดยที่ไม่เสื่อมสลาย ไม่มีสิ่งใดมีตัวมีตน ที่มีอยู่ก็เป็นโดยสมมติ
เมื่อร่างกายนี้หมดลมหายใจถูกเผาทำลายไป ก็ไม่มีใครมายึดว่านั่นยังเป็นเราเป็นเขา
ทุกสิ่งยืมโลกมาใช้ เมื่อถึงเวลาก็ต้องคืนให้โลกไปเช่นเดิม ให้คิดพิจารณาอย่างนี้
เป็นต้น
ให้ทำอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ อย่างเร็ว ๒ สัปดาห์ อย่างช้า ๓ เดือน ทุกข์จะหลุดหายหรือเบาบางลง
ทำให้เราสามารถอยู่กับทุกข์ได้ ไม่ว่าทุกข์จะมีหรือไม่ก็ตาม
จะเห็นว่าขั้นตอนนี้ยังเป็นการคิดลงไปในไตรลักษณ์ไม่ใช่การที่จิตเป็นผู้รู้ผู้เห็นทุกข์
หลังจากนี้เราก็ต้องใช้เครื่องมือเพื่อให้ทุกข์ไม่กำเริบขึ้นมาอีก คือ ไตรสิกขา (สีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา)
วิธีการข้างต้นนี้ผู้เขียนถ่ายทอดมาจากการเผชิญปัญหาจริงๆ ในขั้นตอนภาวนาและพิจารณาไตรลักษณ์ผู้เขียนใช้เวลาประมาณ ๑ เดือน กว่าจิตจะยอมรับและข้ามพ้นทุกข์นั้นมาได้ หวังว่าคงเป็นแนวทางในการบรรเทาปัญหาได้ ไม่มากก็น้อย
วิสูจน์ อมตาริยกุล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น