โลกธรรม ๘
ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบกว่า ๒๖๐๐ ปีนั้นมากมายนับไม่ถ้วนแต่ท่านเลือกมาเพียงหนทางในการดับทุกข์มาเทศนาสั่งสอนบรรดาพุทธบริษัทเปรียบได้กับใบไม้หนึ่งกำมือจากป่าไม้อันกว้างใหญ่
ธรรมทั้ง ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์ใช้เป็นหนทางสู่การดับทุกข์
แต่มีธรรมเพียงบทใดบทหนึ่งหรือเพียงบางบทเท่านั้นที่เหมาะที่จะใช้สำหรับคนๆหนึ่งในการดับทุกข์
มนุษย์เราตั้งแต่ลืมตาดูโลกจนกระทั่งสิ้นอายุขัยไม่มีใครที่จะหนีกฎแห่งธรรมชาติที่ผู้ที่ยังต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏจะต้องพบเจอ
นอกเสียจากผู้นั้นข้ามผ่านห้วงแห่งวัฏสงสารนี้
การบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์เพื่อนำมนุษย์ข้ามห้วงแห่งวัฏสงสารนั่นเอง
ธรรมชาติสรรสร้างสิ่งต่างๆมาเป็นคู่ๆ
เป็นธรรมดามนุษย์เราย่อมต้องการแต่ความสุข
สมหวัง
แต่ในความเป็นจริงไม่มีใครที่จะได้รับความสุขตลอดไปโดยที่ไม่พบกับความทุกข์ ความผิดหวัง
ดังนั้นเราจึงควรทำความรู้จักกับธรรมคู่โลก หรือ โลกธรรม ๘
อ้างอิงจากพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย
ขันธวารวรรค เล่มที่ ๑๗ ปุปผสูตร
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย โลกธรรมมีอยู่ในโลก พระตถาคตย่อมตรัสรู้
ทราบชัด โลกธรรมนั้น ครั้นแล้วย่อมบอก แสดง
บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น ก็โลกธรรมในโลก พระตถาคตย่อมตรัสรู้
ทราบชัดโลกธรรม ครั้นแล้ว ย่อมบอก แสดงบัญญัติ
แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้นนั้น คืออะไร?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คือ รูป
เป็นโลกธรรมในโลก พระตถาคตย่อมตรัสรู้
ทราบชัดโลกธรรมนั้น ฯลฯ กระทำให้ตื้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บุคคลใด เมื่อพระตถาคตบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนกกระทำให้ตื้นอยู่อย่างนี้
ย่อมไม่รู้ ไม่เห็น เราจะกระทำอะไรได้กะบุคคลนั้น ผู้เป็นปุถุชนคนพาลบอด ไม่มีจักษุ
ไม่รู้ ไม่เห็น. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นโลกธรรมในโลก พระตถาคตย่อมตรัสรู้
ทราบชัดโลกธรรมนั้น ครั้นแล้ว ย่อมบอก แสดง
บัญญัติ แต่งตั้งเปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น. บุคคลใด เมื่อพระตถาคตบอก แสดง บัญญัติ
แต่งตั้งเปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้นอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่รู้ ไม่เห็น เราจะกระทำอะไรได้กะบุคคลนั้นผู้เป็นปุถุชนคนพาล
บอด ไม่มีจักษุ ไม่รู้ ไม่เห็น.”
อ้างอิงจากพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย
จตุกกนิบาต
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็คำที่เรากล่าวว่า กำลังใจพึงรู้ได้ในอันตราย...คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่ ดังนี้ นี้เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยอะไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ กระทบความเสื่อมญาติกระทบความเสื่อมโภคทรัพย์ หรือกระทบความเสื่อมเพราะโรค
ย่อมไม่พิจารณาอย่างนี้ว่า โลกสันนิวาสนี้เป็นอย่างนั้นเอง การได้อัตภาพเป็นอย่างนั้น
ในโลกสันนิวาสตามที่เป็นแล้ว ในการได้อัตภาพตามที่เป็นแล้ว โลกธรรม ๘ คือ ลาภ ๑ ความเสื่อมลาภ ๑ ยศ ๑ ความเสื่อมยศ
๑ นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑ ทุกข์ ๑ ย่อมหมุนเวียนไปตามโลก และโลกย่อมหมุนไปตามโลกธรรม ๘ ดังนี้ บุคคลนั้นกระทบความเสื่อมญาติ
กระทบความเสื่อมโภคทรัพย์ หรือกระทบความเสื่อมเพราะโรค ย่อมเศร้าโศก ลำบากใจ ร่ำไร
ทุบอกคร่ำครวญ ถึงความหลงใหล ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ กระทบความเสื่อมญาติ กระทบความเสื่อมโภคทรัพย์
หรือกระทบความเสื่อมเพราะโรคย่อมพิจารณาอย่างนี้ว่าโลกสันนิวาสนี้เป็นอย่างนั้นเอง
การได้อัตภาพเป็นอย่างนั้น ในโลกสันนิวาสตามที่เป็นแล้ว ในการได้อัตภาพตามที่เป็นแล้ว
โลกธรรม ๘ คือ ลาภ ๑ ความเสื่อมลาภ
๑ ยศ ๑ ความเสื่อมยศ ๑นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑ ทุกข์ ๑ หมุนเวียน ไปตามโลกและโลกย่อมหมุนเวียนตามโลกธรรม ๘ ดังนี้ บุคคลนั้นกระทบความเสื่อมญาติ
กระทบความเสื่อมโภคทรัพย์ หรือกระทบความเสื่อมเพราะโรคย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ลำบากใจ ไม่ร่ำไร
ไม่ทุบอกคร่ำครวญ ไม่ถึงความหลงใหล ดูกรภิกษุทั้งหลายคำที่เรากล่าวว่า กำลังใจพึงรู้ได้ในอันตราย...คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่
ดังนี้นี้เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยข้อนี้ ฯ”
โลกธรรม ๘ มี ๔ คู่ดังนี้
คู่ที่ ๑ ได้ลาภ
และ เสื่อมลาภ
คู่ที่ ๒ ได้ยศ และ เสื่อมยศ
คู่ที่ ๓ ได้รับสรรเสริญ และ นินทา
คู่ที่ ๔ ได้สุข และ ทุกข์
ถ้าจะแบ่งเป็น ๒ ฝ่ายที่มีความหมายตรงกันข้าม คือ
๑. โลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์ คือ ฝ่ายที่มนุษย์พอใจมี ๔ เรื่อง คือ
- ได้ลาภ คือ การได้ผลประโยชน์ ได้ทรัพย์สินเงินทอง ได้บ้านเรือนหรือที่สวน ไร่นา ได้ทรัพย์ ได้ลูก ได้เมีย ได้บ้าน ได้ที่ดิน ได้เพชรนิลจินดาต่างๆ เป็นต้น
- ได้ยศ คือ การได้รับตำแหน่ง ได้รับฐานะ ได้อำนาจ ได้เป็นใหญ่เป็นโต ได้รับแต่งตั้งให้มีฐานันดรสูงขึ้น
- ได้รับสรรเสริญ คือ ได้ยิน ได้ฟัง คำสรรเสริญคำชมเชย คำยกยอ คำสดุดี ที่คนอื่นให้เรา
- ได้สุข คือ ได้ความสบายกาย สบายใจ ได้ความเบิกบาน ร่าเริง ได้ความบันเทิงใจ
- ได้ลาภ คือ การได้ผลประโยชน์ ได้ทรัพย์สินเงินทอง ได้บ้านเรือนหรือที่สวน ไร่นา ได้ทรัพย์ ได้ลูก ได้เมีย ได้บ้าน ได้ที่ดิน ได้เพชรนิลจินดาต่างๆ เป็นต้น
- ได้ยศ คือ การได้รับตำแหน่ง ได้รับฐานะ ได้อำนาจ ได้เป็นใหญ่เป็นโต ได้รับแต่งตั้งให้มีฐานันดรสูงขึ้น
- ได้รับสรรเสริญ คือ ได้ยิน ได้ฟัง คำสรรเสริญคำชมเชย คำยกยอ คำสดุดี ที่คนอื่นให้เรา
- ได้สุข คือ ได้ความสบายกาย สบายใจ ได้ความเบิกบาน ร่าเริง ได้ความบันเทิงใจ
ทั้ง ๔ อย่างนี้เป็นเรื่องที่คนทั่วไปชอบ ยังไม่ได้ก็คิดหา
ครั้นหาได้แล้วก็คิดหวง ไม่อยากที่จะสูญเสีย
พยายามรักษาไว้
๒. โลกธรรมฝ่ายอนิฏฐารมณ์ คือ ฝ่ายที่มนุษย์ไม่พอใจ กลัวว่าจะเกิดขึ้นกับตน มี ๔ เรื่อง คือ
- เสียลาภ คือ ผลประโยชน์ที่ได้มาแล้วเสียไป เช่น เสียเงิน เสียที่อยู่ ลูกรักตายเสีย เมียรักตายจาก
- เสื่อมยศ คือ ถูกลดความเป็นใหญ่ ถูกถอดออกจากตำแหน่ง ถูกถอดอำนาจ
- ถูกนินทา คือ ถูกตำหนิติเตียนว่าไม่ดี มีใครพูดถึง ความไม่ดีของเราในที่ลับหลังเรียกว่าถูกนินทา
- ตกทุกข์ คือ ได้รับความทุกข์ทรมานกายทรมานใจ
พยายามรักษาไว้
๒. โลกธรรมฝ่ายอนิฏฐารมณ์ คือ ฝ่ายที่มนุษย์ไม่พอใจ กลัวว่าจะเกิดขึ้นกับตน มี ๔ เรื่อง คือ
- เสียลาภ คือ ผลประโยชน์ที่ได้มาแล้วเสียไป เช่น เสียเงิน เสียที่อยู่ ลูกรักตายเสีย เมียรักตายจาก
- เสื่อมยศ คือ ถูกลดความเป็นใหญ่ ถูกถอดออกจากตำแหน่ง ถูกถอดอำนาจ
- ถูกนินทา คือ ถูกตำหนิติเตียนว่าไม่ดี มีใครพูดถึง ความไม่ดีของเราในที่ลับหลังเรียกว่าถูกนินทา
- ตกทุกข์ คือ ได้รับความทุกข์ทรมานกายทรมานใจ
ทั้ง
๔ ประการนี้เป็นเรื่องที่คนเราไม่ชอบ ไม่ปรารถนาให้เกิดขึ้นกับตัว
เมื่อยังมาไม่ถึง จิตก็หวั่นว่ามันจะมา
เมื่อมันมาแล้วก็ภาวนาว่าเมื่อไหร่จะไปเสียที ไปแล้วก็ยังหวั่นกลัวว่ามันจะกลับมาอีก
ทำไมจึงต้องรู้จัก
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรเป็นตัวของเราเอง
ไม่มีใครในโลกนี้จะพบแต่ความสมหวังตลอดชีวิต จะต้องพบกับคำว่าผิดหวังบ้าง
ดังที่กล่าวมาแล้วว่าไม่มีใครที่จะได้รับความสุขสมหวังตลอดไปโดยที่ไม่พบกับความทุกข์ ความผิดหวัง การที่เรารู้จักธรรมชาติของโลกทำให้เราสามารถปรับตัวให้อยู่ในโลกนี้ได้เมื่อพบกับความทุกข์ ความผิดหวัง เสียใจ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ
ดังที่กล่าวมาแล้วว่าไม่มีใครที่จะได้รับความสุขสมหวังตลอดไปโดยที่ไม่พบกับความทุกข์ ความผิดหวัง การที่เรารู้จักธรรมชาติของโลกทำให้เราสามารถปรับตัวให้อยู่ในโลกนี้ได้เมื่อพบกับความทุกข์ ความผิดหวัง เสียใจ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ
คนที่ไม่เคยประสบกับความทุกข์
ความผิดหวังอย่างรุนแรงยากที่จะหักห้ามใจได้
คงไม่หยั่งรู้ถึงพิษสงของความเจ็บปวดที่สุดแสนทรมานอันนี้ได้
ทางออกในการแก้ปัญหาของคนเราจะแตกต่างไปตามสถานการณ์ อารมณ์
ประสบการณ์
บางคนคิดสั้นถึงกับทำร้ายตัวเองจนบางครั้งพิการหรือเสียชีวิต แต่สำหรับผู้ที่มีสติ
ถ้าเป็นผู้มีศีลมีธรรมเคยฝึกฝนอบรมมาบ้างก็ผ่อนหนักให้กลายเป็นเบาหรือสามารถรับมือกับปัญหาได้
แต่ถ้าผู้นั้นไม่มีศีลธรรมอาจหลงเดินทางผิดกระทำการซ้ำรอยเดิม เป็นการสั่งสมอนุสัยที่ไม่ดีลงในจิตทำให้ต้องวนเวียนอยู่อย่างนี้ตลอดไป
ไม่ว่าชาติหน้าจะมีหรือไม่ก็ตาม
สิ่งที่ยืนยันในกรรมและผลของกรรมยังมีอยู่อย่างแน่นอน
อย่างน้อยที่สุดจิตใจของผู้ที่ได้กระทำสิ่งที่ผิดศีลธรรมย่อมมีความทุกข์ใจ
หม่นหมองใจ ถึงจะไม่แสดงออกมาให้คนอื่นทราบก็ตาม
ผู้มีปัญญาได้รับการศึกษาอบรมมาอย่างดีแล้ว พึงทำใจเอาไว้กลางๆ ว่า มีคนนินทา ก็ต้องมีคนสรรเสริญ มีสุขก็ต้องมีทุกข์ มีลาภย่อมเสื่อมลาภ มียศก็ย่อมเสื่อมยศ หากเราหวังอะไรเกินเหตุ เมื่อเวลาเราผิดหวัง ไม่สมหวัง ให้ทำใจไว้ว่านั่นคือโลกธรรมทั้ง ๘ คือ มีได้ก็ต้องเสื่อมได้ เป็นของธรรมดาในโลกนี้ ไม่ว่าสัตว์หรือบุคคลใด ก็ย่อมหนีสิ่งเหล่านี้ไปไม่พ้น เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็ย่อมหนีสิ่งเหล่านี้ไปไม่พ้นอย่างแน่นอน เพราะเมื่อไม่สมปรารถนาที่ตัวเองคิดไว้ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียอกเสียใจ รำพึงรำพันกับตัวเองถึงความไม่สมหวัง จะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์มาก
เพราะฉะนั้น จงใช้สติปัญญาหมั่นพิจารณาอยู่เนืองๆ ว่า สิ่งใดมีเกิดขึ้น ก็ต้องมีเสื่อมไปเป็นของธรรมดา เหมือนโลกธรรมทั้ง ๘ ประการ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนจะต้องตกอยู่ในโลกธรรม ๘ กันถ้วนหน้า จะได้ไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ สามารถดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างเป็นสุข
ทุกสิ่งในโลกนี้ถูกสรรสร้างมาเป็นคู่ๆ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีพระพุทธเจ้าก็ตาม
ธรรมชาติก็ยังคงปรากฎอยู่เช่นนี้เรื่อยมา
รวมถึงธรรมที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงค้นพบนั่นคือไตรลักษณ์ และหนทางในการดับทุกข์
สิ่งใดๆย่อมมีการเกิด การเปลี่ยนแปลง ทนอยู่ในรูปเดิมไม่ได้
และก็เสื่อมสลายไป ไม่มีตัวตน
สพฺเพธมฺมา อนิจจา
สพฺเพธมฺมา ทุกขํ
สพฺเพธมฺมา อนตฺตา
สัจธรรมนี้จะคงอยู่คู่ธรรมชาติคู่โลกเช่นนี้ตลอดไปเช่นกัน
วิสูจน์ อมตาริยกุล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น