ทางให้ถึงความหลุดพ้นห้าทาง
ภิกษุ ทั้งหลาย ! ธรรมเป็นเครื่องให้ถึงวิมุตติ (วิมุตฺตายตนํ) ห้าประการ
เหล่านี้ มีอยู่, ซึ่งในธรรมนั้น เมื่อภิกษุเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส
มี
ตนส่งไปแล้ว อยู่, จิตที่ยังไม่หลุดพ้นย่อมหลุดพ้น
อาสวะที่ยังไม่สิ้นรอบย่อมถึง
ซึ่งความสิ้นรอบ หรือว่า เธอย่อมบรรลุตามลำดับ ซึ่งความเกษมจากโยคะอัน
ไม่มีอื่นยิ่งกว่าที่ตนยังไม่บรรลุตามลำดับ. ธรรมเป็นเครื่องให้ถึงวิมุตติห้าประการ
นั้น เป็นอย่างไรเล่า ? ห้าประการ คือ:-
๑. ภิกษุ ทั้งหลาย ! ในกรณีนี้ พระศาสดา หรือ เพื่อนสพรหมจารี ผู้
ตั้งอยู่ในฐานะเป็นครูรูปใดรูปหนึ่ง ย่อม แสดงธรรมแก่ภิกษุ, เธอย่อมเป็น
ผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งอรรถ รู้พร้อมเฉพาะซึ่งธรรม ในธรรมนั้นตามที่พระศาสดา
หรือเพื่อนสพรหมจารีแสดงแล้วอย่างไร. เมื่อเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งอรรถรู้พร้อม
เฉพาะซึ่งธรรม, ปราโมทย์ ย่อมเกิดขึ้นแก่เธอนั้น
; เมื่อปราโมทย์แล้ว ปีติย่อม
เกิด ; เมื่อใจมีปีติ กายย่อมรำงับ ; ผู้มีกายรำงับแล้ว ย่อมเสวยสุข (ด้วยนามกาย) ;
เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น ; ภิกษุ ทั้งหลาย ! นี้คือธรรมเป็นเครื่องให้ถึงวิมุตติ ข้อที่
หนึ่ง, ซึ่งในธรรมนั้น เมื่อภิกษุเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตน
ส่งไปแล้ว อยู่, จิตที่ยังไม่หลุดพ้นย่อมหลุดพ้น อาสวะที่ยังไม่สิ้นรอบย่อมถึง
ซึ่งความสิ้นรอบ หรือว่า เธอย่อมบรรลุตามลำดับ ซึ่งความเกษมจากโยคะอัน
ไม่มีอื่นยิ่งกว่าที่ตนยังไม่บรรลุตามลำดับ (โดยแน่แท้).
๒. ภิกษุ ทั้งหลาย ! ข้ออื่นยังมีอีก : พระศาสดา หรือเพื่อนสพรหมจารี
ผู้ตั้งอยู่ในฐานะเป็นครูรูปใดรูปหนึ่ง ก็มิได้แสดงธรรมแก่ภิกษุ ; แต่ เธอ
แสดงธรรมตามที่ได้ฟังมา ได้เล่าเรียนมา แก่ชนทั้งหลายเหล่าอื่น โดยพิสดาร
อยู่, เธอนั้นย่อมเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งอรรถ
รู้พร้อมเฉพาะซึ่งธรรม ในธรรม
ตามที่เธอแสดงแก่ชนเหล่าอื่น โดยพิสดารตามที่เธอฟังมาแล้วเล่าเรียนมาแล้ว
อย่างไร. เมื่อเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งอรรถ
รู้พร้อมเฉพาะซึ่งธรรม, ปราโมทย์
ย่อมเกิดขึ้นแก่เธอนั้น ; เมื่อปราโมทย์แล้ว ปีติย่อมเกิด ; เมื่อใจมีปีติ กายย่อม
รำงับ ; ผู้มีกายรำงับแล้ว ย่อมเสวยสุข (ด้วยนามกาย) ; เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น.
ภิกษุ ทั้งหลาย ! นี้คือ ธรรมเป็นเครื่องให้ถึงวิมุตติ ข้อที่สอง, ซึ่งในธรรมนั้น เมื่อ
ภิกษุเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้ว อยู่, จิตที่ยังไม่
หลุดพ้นย่อมหลุดพ้น อาสวะที่ยังไม่สิ้นรอบย่อมถึงซึ่งความสิ้นรอบ หรือว่า
เธอย่อมบรรลุตามลำดับ ซึ่งความเกษมจากโยคะอันไม่มีอื่นยิ่งกว่าที่ตนยังไม่
บรรลุตามลำดับ (โดยแน่แท้).
๓. ภิกษุ ทั้งหลาย ! ข้ออื่นยังมีอีก : พระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจารีผู้ตั้ง
อยู่ในฐานะเป็นครูรูปใดรูปหนึ่ง ก็มิได้แสดงธรรมแก่ภิกษุ ; และเธอนั้นก็
มิได้แสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่นโดยพิสดารตามที่เธอได้ฟังมาได้เล่าเรียนมา ; แต่
เธอกระทำการท่องบ่นซึ่งธรรมโดยพิสดารตามที่ตนฟังมาเล่าเรียนมา อยู่. เธอย่อมเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งอรรถ รู้พร้อมเฉพาะซึ่งธรรม ในธรรมนั้นตามที่
เธอทำการท่องบ่นซึ่งธรรมโดยพิสดารตามที่ได้ฟังมาเล่าเรียนมาอย่างไร. เมื่อเป็น
ผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งอรรถ รู้พร้อมเฉพาะซึ่งธรรม, ปราโมทย์ ย่อมเกิดขึ้นแก่
เธอนั้น ; เมื่อปราโมทย์แล้ว ปีติย่อมเกิด
; เมื่อใจปีติ กายย่อมรำงับ ; ผู้มีกาย
รำงับแล้ว ย่อมเสวยสุข (ด้วยนามกาย) ; เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น. ภิกษุ ทั้งหลาย !
นี้คือ ธรรมเป็นเครื่องให้ถึงวิมุตติ ข้อที่สาม, ซึ่งในธรรมนั้น เมื่อภิกษุเป็นผู้
ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้ว อยู่, จิตที่ยังไม่หลุดพ้นย่อม
หลุดพ้น อาสวะที่ยังไม่สิ้นรอบย่อมถึงซึ่งความสิ้นรอบ หรือว่าเธอย่อม
บรรลุตามลำดับ ซึ่งความเกษมจากโยคะอันไม่มีอื่นยิ่งกว่าที่ตนยังไม่บรรลุตาม
ลำดับ (โดยแน่แท้).
๔. ภิกษุ ทั้งหลาย ! ข้ออื่นยังมีอีก : พระศาสดา หรือเพื่อนสพรหมจารีผู้
ตั้งอยู่ในฐานะเป็นครูรูปใดรูปหนึ่ง ก็มิได้แสดงธรรมแก่ภิกษุ ; และเธอนั้นก็
มิได้แสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่นโดยพิสดารตามที่เธอได้ฟังมาได้เล่าเรียนมา ; และ
เธอก็มิได้ทำการท่องบ่นซึ่งธรรมโดยพิสดารตามที่ตนฟังมาเล่าเรียนมา ; แต่
เธอตรึกตามตรองตามด้วยใจ ตามเพ่งด้วยใจ ซึ่งธรรมตามที่เธอฟังมาเล่า
เรียนมา อยู่, เธอย่อมเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งอรรถ รู้พร้อมเฉพาะซึ่งธรรม ใน
ธรรมนั้นตามที่เธอตรึกตามตรองตามด้วยใจ ตามเพ่งด้วยใจ ซึ่งธรรมตามที่ได้
ฟังมาเล่าเรียนมา อย่างไร. เมื่อเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งอรรถ
รู้พร้อมเฉพาะซึ่ง
ธรรม, ปราโมทย์ ย่อมเกิดขึ้นแก่เธอนั้น
; เมื่อปราโมทย์แล้ว ปีติย่อมเกิด;
เมื่อใจมีปีติ กายย่อมรำงับ ; ผู้มีกายรำงับแล้ว ย่อมเสวยสุข (ด้วยนามกาย) ; เมื่อมี
สุข จิตย่อมตั้งมั่น. ภิกษุ ทั้งหลาย ! นี้คือ ธรรมเป็นเครื่องให้ถึงวิมุตติข้อที่สี่,
ซึ่งในธรรมนั้น เมื่อภิกษุเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้ว
อยู่, จิตที่ยังไม่หลุดพ้นย่อมหลุดพ้น
อาสวะที่ยังไม่สิ้นรอบย่อมถึงซึ่งความ
สิ้นรอบ หรือว่า เธอย่อมบรรลุตามลำดับ ซึ่งความเกษมจากโยคะอันไม่มีอื่นยิ่งกว่าที่ตนยังไม่บรรลุตามลำดับ (โดยแน่แท้).
๕. ภิกษุ ทั้งหลาย ! ข้ออื่นยังมีอีก : พระศาสดา หรือเพื่อนสพรหมจารี
ผู้ตั้งอยู่ในฐานะเป็นครูรูปใดรูปหนึ่ง ก็มิได้แสดงธรรมแก่ภิกษุ ; และเธอ
นั้นก็มิได้แสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่นโดยพิสดารตามที่เธอไดัฟังมาได้เล่าเรียนมา ;
และเธอก็มิได้ทำการท่องบ่นซึ่งธรรมโดยพิสดารตามที่ตนฟังมาเล่าเรียนมา ; ทั้ง
เธอก็มิได้ตรึกตรองตามด้วยใจ ตามเพ่งด้วยใจ ซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาเล่าเรียน
มา ; แต่ว่า สมาธินิมิตอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่เธอนั้นถือเอาดีแล้ว กระทำ
ไว้ในใจดีแล้ว เข้าไปทรงไว้ดีแล้ว แทงตลอดดีแล้วด้วยปัญญา อยู่, เธอย่อม
เป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งอรรถ รู้พร้อมเฉพาะซึ่งธรรม ในธรรมนั้น ตามที่สมาธินิมิตอย่างใดอย่างหนึ่ง
เป็นสิ่งที่เธอถือเอาด้วยดี กระทำไว้ในใจดี เข้าไปทรงไว้ดี แทง
ตลอดดีด้วยปัญญา อย่างไร. เมื่อเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งอรรถ
รู้พร้อมเฉพาะซึ่ง
ธรรม, ปราโมทย์ ย่อมเกิดขึ้นแก่เธอนั้น
; เมื่อปราโมทย์แล้วปีติย่อมเกิด ; เมื่อ
ใจมีปีติ กายย่อมรำงับ ; ผู้มีกายรำงับแล้ว ย่อมเสวยสุข(ด้วยนามกาย) ; เมื่อ
มีสุข จิตย่อมตั้งมั่น. ภิกษุ ทั้งหลาย ! นี้คือธรรมเป็นเครื่องให้ถึงวิมุตติ ข้อที่ห้า,
ซึ่งในธรรมนั้น เมื่อภิกษุเป็นผู้ไม่ประมาทมีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้ว
อยู่. จิตที่ยังไม่หลุดพ้นย่อมหลุดพ้น อาสวะที่ยังไม่สิ้นรอบย่อมถึงซึ่งความสิ้น
รอบ หรือว่า เธอย่อมบรรลุตามลำดับ ซึ่งความเกษมจากโยคะอันไม่มีอื่นยิ่งกว่า
ที่ยังไม่บรรลุตามลำดับ (โดยแน่แท้).
สรุปแนวทางแห่งความหลุดพ้น ๕ ประการ หรือเรียกว่า ทาง ๕
สายสลายทุกข์
๑. การฟังธรรม
๒. การแสดงธรรม พูดให้คนอื่นฟัง
๓. การสาธยายธรรม พูดให้ตัวเองฟังโดยการสวดมนต์ ตรึกตรอง
๔. การตรึกตรองใคร่ครวญธรรม
๕. สมาธินิมิต
เจริญภาวนา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น