ผู้อยู่ด้วยเครื่องอยู่แบบพระอริยเจ้า
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ละองค์ห้าได้ขาด (นิวรณ์ ๕),
ประกอบพร้อมด้วยองค์หก
(อายตนะ ๖ ,
เป็นผู้ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ
มีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะอยู่ได้,
มีอารักขาอย่างเดียว (รักษาจิตด้วยสติ),
มีพนักพิงสี่ด้าน
(พิจารณาแล้วเสพของสิ่งหนึ่ง, พิจารณาแล้วอดกลั้นของสิ่งหนึ่ง, พิจารณาแล้วเว้นขาดของสิ่งหนึ่ง, พิจารณาแล้วบรรเทาของสิ่งหนึ่ง),
เป็นผู้ถอนความเห็นว่าจริงดิ่งไปคนละทางขึ้นเสียแล้ว,
เป็นผู้ละการแสวงหาสิ้นเชิงแล้ว
(เป็นผู้ละการแสวงหากามแล้ว,เป็นผู้ละการแสวงหาภพแล้ว, และการแสวงหาพรหมจรรย์ของเธอนั้นก็ระงับไปแล้ว.),
เป็นผู้มีความดำริอันไม่ขุ่นมัว
(เป็นผู้ละความดำริในทางกามเสียแล้ว, เป็นผู้ละความดำริในทางพยาบาทเสียแล้ว, และเป็นผู้ละความดำริในทางเบียดเบียนเสียแล้ว.),
เป็นผู้มีกายสังขารอันสงบรำงับแล้ว
(เพราะละสุขเสียได้ เพราะละทุกข์เสียได้ และเพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน
จึงบรรลุฌานที่ ๔ อันไม่มีทุกข์และสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่ ภิกษุ),
เป็นผู้มีจิตหลุดพ้นด้วยดี (เป็นผู้มีจิตหลุดพ้นจากราคะ
จากโทสะ จากโมหะ.), เป็นผู้มีปัญญาในความหลุดพ้นด้วยดี
(รู้ชัดว่า "เราละ ราคะ โทสะ โมหะ เสียแล้ว ถอนขึ้นได้กระทั่งราก
ทำให้เหมือนตาลยอดเน่า ไม่ให้มี ไม่ให้เกิดได้อีกต่อไป").
ผู้สอบทานตัวเอง
ภิกษุ ท.! ข้อสอบทานสิบอย่างนี้ เป็นสิ่งที่นักบวชควรพิจารณาเนือง
ๆ. สิบอย่างอะไรบ้างเล่า ?
สิบอย่างคือ :-
(๑) นักบวชควรพิจารณาเนือง
ๆ ว่า “บัดนี้ เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว, (อาการกิริยาใด ๆ ของสมณะ
เราต้องทำอาการกิริยานั้น ๆ)”.
(๒) นักบวชควรพิจารณาเนือง
ๆ ว่า “ความเลี้ยงชีวิตของเราเนื่องด้วยผู้อื่น, (เราควรทำตัวให้เขาเลี้ยงง่าย)”.
(๓) นักบวชควรพิจารณาเนือง
ๆ ว่า “อาการกายวาจาอย่างอื่น
ที่เราจะต้องทำให้ดีขึ้นไปกว่านี้ ยังมีอยู่อีก (ไม่ใช่เพียงเท่านี้)”.
(๔) นักบวชควรพิจารณาเนือง
ๆ ว่า “ตัวของเราเองติเตียนตัวเราเองโดยศีลได้หรือไม่
? ”
(๕) นักบวชควรพิจารณาเนือง
ๆ ว่า “ผู้รู้ใคร่ครวญแล้ว
ติเตียนเราโดยศีลได้หรือไม่ ? ”
(๖) นักบวชควรพิจารณาเนือง
ๆ ว่า “เราต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น”.
(๗) นักบวชควรพิจารณาเนือง
ๆ ว่า “เรามีกรรมเป็นของตน
เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำ เนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำดีก็ตามทำชั่วก็ตาม เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น.
(๘) นักบวชควรพิจารณาเนือง
ๆ ว่า “วันคืนล่วงไป ๆ บัดนี้
เราทำอะไรอยู่”.
(๙) นักบวชควรพิจารณาเนือง
ๆ ว่า “เรายินดียิ่ง ในเรือนว่างหรือไม่”.
(๑๐) นักบวชควรพิจารณาเนือง
ๆ ว่า “ปัญญาเครื่องรู้เห็นพิเศษที่สามารถจะทำ
ความเป็นอริยะอันยิ่งกว่ามนุษยธรรม ที่เราได้บรรลุแล้ว มีอยู่หรือไม่ ซึ่งจะให้เราเป็นผู้ไม่เก้อเขิน ในเวลาที่ถูกเพื่อนผู้ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยกัน
ถามในกาลภายหลัง”.
ผู้อยู่ใกล้นิพพาน
ภิกษุ เมื่อประกอบพร้อมด้วยธรรมสี่อย่างแล้ว ไม่อาจที่จะเสื่อมเสีย
มีแต่จะอยู่ใกล้นิพพานอย่างเดียว.
สี่อย่างคือ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล,
เป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย(เธอรักษา และถึงความสำรวม
ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ),
เป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ(ฉันเพียงเพื่อให้กายนี้ตั้งอยู่ได้
เพื่อให้ชีวิตเป็นไป เพื่อป้องกันความลำบาก เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ โดยกำหนดรู้ว่า
“เราจะกำจัดเวทนาเก่า
(คือหิว) เสียแล้วไม่ทำเวทนาใหม่ (คืออิ่มจนอึดอัด) ให้เกิดขึ้น,
ความที่อายุดำเนินไปได้
ความไม่มีโทษเพราะอาหาร และความอยู่ผาสุกสำราญจะมีแก่เรา),
เป็นผู้ตามประกอบในชาคริยธรรมอยู่เป็นประจำ(ชำระจิตให้หมดจดสิ้นเชิงจากกิเลสที่กั้นจิต
ด้วยการเดินจงกรม ด้วยการนั่ง ตลอดวันยังค่ำไปจนสิ้นยามแรกแห่งราตรี, ครั้นยามกลางแห่งราตรี
ย่อมสำเร็จการนอนอย่างราชสีห์ (คือ) ตะแคงข้างขวา เท้าเหลื่อมเท้า มีสติสัปชัญญะในการลุกขึ้น, ครั้นยามสุดท้ายแห่งราตรี
กลับลุกขึ้นแล้ว ก็ชำระจิตให้หมดจดสิ้นเชิงจากกิเลส
ที่กั้นจิต ด้วยการเดินจงกรม และด้วยการนั่งอีก.).
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น