หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ผู้อยู่ด้วยเครื่องอยู่แบบพระอริยเจ้า ผู้สอบทานตัวเอง ผู้อยู่ใกล้นิพพาน



ผู้อยู่ด้วยเครื่องอยู่แบบพระอริยเจ้า

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ 
 เป็นผู้ละองค์ห้าได้ขาด (นิวรณ์ ๕),  
 ประกอบพร้อมด้วยองค์หก (อายตนะ ๖ , 
 เป็นผู้ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะอยู่ได้, 
 มีอารักขาอย่างเดียว (รักษาจิตด้วยสติ)
 มีพนักพิงสี่ด้าน (พิจารณาแล้วเสพของสิ่งหนึ่ง, พิจารณาแล้วอดกลั้นของสิ่งหนึ่ง, พิจารณาแล้วเว้นขาดของสิ่งหนึ่ง, พิจารณาแล้วบรรเทาของสิ่งหนึ่ง)
 เป็นผู้ถอนความเห็นว่าจริงดิ่งไปคนละทางขึ้นเสียแล้ว, 
 เป็นผู้ละการแสวงหาสิ้นเชิงแล้ว (เป็นผู้ละการแสวงหากามแล้ว,เป็นผู้ละการแสวงหาภพแล้ว, และการแสวงหาพรหมจรรย์ของเธอนั้นก็ระงับไปแล้ว.), 
 เป็นผู้มีความดำริอันไม่ขุ่นมัว (เป็นผู้ละความดำริในทางกามเสียแล้ว, เป็นผู้ละความดำริในทางพยาบาทเสียแล้ว, และเป็นผู้ละความดำริในทางเบียดเบียนเสียแล้ว.), 
 เป็นผู้มีกายสังขารอันสงบรำงับแล้ว (เพราะละสุขเสียได้ เพราะละทุกข์เสียได้ และเพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน จึงบรรลุฌานที่ ๔ อันไม่มีทุกข์และสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่ ภิกษุ)
 เป็นผู้มีจิตหลุดพ้นด้วยดี (เป็นผู้มีจิตหลุดพ้นจากราคะ จากโทสะ จากโมหะ.), เป็นผู้มีปัญญาในความหลุดพ้นด้วยดี (รู้ชัดว่า "เราละ ราคะ โทสะ โมหะ เสียแล้ว ถอนขึ้นได้กระทั่งราก ทำให้เหมือนตาลยอดเน่า ไม่ให้มี ไม่ให้เกิดได้อีกต่อไป").

ผู้สอบทานตัวเอง

ภิกษุ ท.! ข้อสอบทานสิบอย่างนี้ เป็นสิ่งที่นักบวชควรพิจารณาเนือง ๆ. สิบอย่างอะไรบ้างเล่า ? สิบอย่างคือ :-
(๑) นักบวชควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า บัดนี้ เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว, (อาการกิริยาใด ๆ ของสมณะ เราต้องทำอาการกิริยานั้น ๆ)”.
(๒) นักบวชควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า ความเลี้ยงชีวิตของเราเนื่องด้วยผู้อื่น, (เราควรทำตัวให้เขาเลี้ยงง่าย)”.
(๓) นักบวชควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า อาการกายวาจาอย่างอื่น ที่เราจะต้องทำให้ดีขึ้นไปกว่านี้ ยังมีอยู่อีก (ไม่ใช่เพียงเท่านี้)”.
(๔) นักบวชควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า ตัวของเราเองติเตียนตัวเราเองโดยศีลได้หรือไม่ ? ”
(๕) นักบวชควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า ผู้รู้ใคร่ครวญแล้ว ติเตียนเราโดยศีลได้หรือไม่ ? ”
(๖) นักบวชควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เราต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น”.
(๗) นักบวชควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำ เนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำดีก็ตามทำชั่วก็ตาม เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น.
(๘) นักบวชควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า วันคืนล่วงไป ๆ บัดนี้ เราทำอะไรอยู่”.
(๙) นักบวชควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรายินดียิ่ง ในเรือนว่างหรือไม่”.
(๑๐) นักบวชควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า ปัญญาเครื่องรู้เห็นพิเศษที่สามารถจะทำ ความเป็นอริยะอันยิ่งกว่ามนุษยธรรม ที่เราได้บรรลุแล้ว มีอยู่หรือไม่ ซึ่งจะให้เราเป็นผู้ไม่เก้อเขิน ในเวลาที่ถูกเพื่อนผู้ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยกัน ถามในกาลภายหลัง”.

ผู้อยู่ใกล้นิพพาน

ภิกษุ เมื่อประกอบพร้อมด้วยธรรมสี่อย่างแล้ว ไม่อาจที่จะเสื่อมเสีย มีแต่จะอยู่ใกล้นิพพานอย่างเดียว.
สี่อย่างคือ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล,
เป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย(เธอรักษา และถึงความสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ),
เป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ(ฉันเพียงเพื่อให้กายนี้ตั้งอยู่ได้ เพื่อให้ชีวิตเป็นไป เพื่อป้องกันความลำบาก เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ โดยกำหนดรู้ว่า เราจะกำจัดเวทนาเก่า (คือหิว) เสียแล้วไม่ทำเวทนาใหม่ (คืออิ่มจนอึดอัด) ให้เกิดขึ้น,  
ความที่อายุดำเนินไปได้ ความไม่มีโทษเพราะอาหาร และความอยู่ผาสุกสำราญจะมีแก่เรา),
เป็นผู้ตามประกอบในชาคริยธรรมอยู่เป็นประจำ(ชำระจิตให้หมดจดสิ้นเชิงจากกิเลสที่กั้นจิต ด้วยการเดินจงกรม ด้วยการนั่ง ตลอดวันยังค่ำไปจนสิ้นยามแรกแห่งราตรี, ครั้นยามกลางแห่งราตรี ย่อมสำเร็จการนอนอย่างราชสีห์ (คือ) ตะแคงข้างขวา เท้าเหลื่อมเท้า มีสติสัปชัญญะในการลุกขึ้น, ครั้นยามสุดท้ายแห่งราตรี กลับลุกขึ้นแล้ว ก็ชำระจิตให้หมดจดสิ้นเชิงจากกิเลส
ที่กั้นจิต ด้วยการเดินจงกรม และด้วยการนั่งอีก.).

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น