ที่เป็นอย่างนี้เพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้จักศีล ๕ อย่างแท้จริงให้ลึกซึ้ง จึงหลงทำผิดไปโดยไม่รู้ตัว ผมเชื่อว่า ถ้าทุกคนที่ได้เข้ามาอ่านบทความนี้จะต้องมีความคิดที่เปลี่ยนไป และตั้งใจรักษาศีลให้มากขึ้น แล้วท่านจะรู้ว่าตัวท่านที่เป็นอยู่ในตอนนี้นั่นแหล่ะ คือเหตุและผลที่ท่านกระทำมาเองท่านจึงเป็นอย่างที่เป็นอยู่แบบนี้ แล้วถ้าทุกคนเลือกเกิดได้คุณจะเลือกเกิดเป็นอะไร???
.............. คุณก็ต้องเลือกเกิดในตระกูลที่มีฐานะดีมั่นคง มีชื่อเสียงและรูปร่างหน้าตาสวย หล่อ ...............แล้วทำไมคุณไม่เลือกเกิดในตระกูลเหล่านั้น ทำไมท่านจึงไม่เป็นอย่างโน้นอย่างนี้และอีก ฯลฯ
.............. เพราะอะไรเล่า?
..............ก็เพราะว่าท่านได้สร้างเหตุปัจจัยไว้อย่างไรก็ได้ผลอย่างนั้น
...............แล้วอะไรทำให้ท่านจึงเกิดมาอย่างนี้หล่ะ
...............คำตอบ .............คือ "ผลของกรรม"
กรรม ก็คือ การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา ทางกายก็ตาม ทางวาจาก็ตาม ทางใจก็ตาม ของตัวท่านเองนั่นแหล่ะจะเป็นตัวกำหนดท่านเอง ผลของการกระทำจะสะสมอยู่ในจิตที่จะเป็นตัวเดินทางหลังจากท่านตาย.........................
................................แล้วท่านวางแผนชีวิตในชาติหน้าไว้แล้วรึยัง....................
..................หลายคนวางแผนชีวิตไว้แต่เฉพาะในชาตินี้ ..น้อยคนนักที่จะวางแผนชีวิตไปถึงชาติหน้า .................ทำไมพวกเค้าไม่วางแผนหล่ะครับ.......................ก็เพราะว่าเค้าไม่รู้งัยครับ
..................เราไม่ได้บอกว่าผลของการรักษาศีลที่คุณจะตั้งใจรักษาจะได้รับในชาติหน้าน่ะครับ ................แต่คุณจะได้รับในวินาทีแรกที่คุณตั้งใจจะรักษา.........................แล้วคุณจะดูดีขึ้น.....หน้าตาและผิวพรรณคุณจะเปลี่ยนไป..........คุณจะรับความโชคดีอย่างไม่คาดคิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงานหรือโอกาส.........................ท่านต้องลองดูเองน่ะครับ.................ผมเชื่อว่าท่านต้องสัมผัสมันได้อย่างที่ผมสัมผัสมันได้ครับ...............แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับกรรมที่ท่านทำในอดีตด้วยน่ะครับ
..................นี่แค่อนิสงค์ของศีลเท่านั้น ถ้าท่านได้ปฏิบัติจิตภาวนาทั้งสมถะและวิปัสสนาด้วยจนเป็นนิสัยย่อมสามารถเลือกที่เกิดก่อนที่จิตดวงสุดท้ายจะดับ(จุติจิต)และส่งผลนั้นต่อปฏิสนธิจิตที่จะเกิดต่อจากจุติจิตดวงนั้น ได้อย่างแน่นอนสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถบรรลุนิพพาน.......................ว่ากันมายาวเลย.......ผมว่าเรามาลุยกันต่อในเรื่องของศีลดีกว่าครับ
ถ้าเรารักษาหรือไม่รักษาศีล ๕ แล้วเราจะได้อะไร ? มาดูกันครับ
ศีลข้อที่ ๑ เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการเบียดเบียนชิวิตซึ่งกันและกันเนื่องจากชีวิตเป็นสิ่งที่ทุกคนรัก ทุกคนหวงแหน แม้สัตว์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน รักชีวิต หวงชีวิต กลัวชีวิตจะต้องตาย ทุกๆชีวิตไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ทั้งหลาย ต่างดิ้นรนต่อสู้ทุกวิถีทาง เพื่อให้ชีวิตของตนอยู่รอด แคล้วคลาดปลอดภัยอยู่ดีมีความสุข พระพุทธเจ้าจึงบัญญัติศีล ข้อที่ ๑ ด้วยเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายรักชีวิตของตนเป็นอันดับ ๑
ศีลข้อที่ ๑ เว้นจากการฆ่าสัตว์ ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ
๑. สัตว์นั้นมีชีวิต
๒. รู้อยู่ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
๓. มีจิตคิดจะฆ่าสัตว์นั้น
๔. มีความพยายามฆ่าสัตว์นั้น
๕. สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น
ศีลข้อ ที่ ๑ ปาณาติปาตาเวรมณี
เว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วยตนเองหรือใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ถ้าไม่เว้นย่อมยังสัตว์ให้เกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์เดรัจฉานในเปรตวิสัย และเมื่อวิบากกรรมเริ่มเบาบางลงมีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์อีกก็จะได้รับผลจากวิบากกรรมที่ผิดศีลข้อ ๑ ๙ ประการ คือ
๑. เป็นคนทุพพลภาพ
๒. เป็นคนรูปไม่งาม
๓. มีกำลังกายอ่อนแอ
๔. เป็นคนเฉื่อยชา
๕. เป็นคนขี้ขลาด
๖. เป็นคนที่ถูกผู้อื่นฆ่า หรือฆ่าตัวเอง
๗. มักมีโรคภัยเบียดเบียน
๘. ความพินาศเกิดกับบริวาร
๙. อายุสั้น และให้ผลติดต่อกันหลายชาติ
รักษาศีลข้อที่ ๑ แล้วได้อะไร ?
๑. ได้รับผลปฏิสนธิกาล คือ ได้เกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดเป็นเทวดา เรียก ว่า กามสุคติภูมิ
๒. ได้รับผลในปวัตติกาล คือ หลังจากเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ได้รับผลอีก ๒๓ ประการ
อานิสงส์แห่งการรักษาศีลข้อที่ ๑ มี ๒๓ ประการ
๑. สมบูรณ์ด้วยอวัยวะน้อยใหญ่(มีอวัยวะครบ ๓๒ ประการ)
๒. มีร่างกายสมทรง
๓. สมบูรณ์ด้วยกำลังกาย
๔. มือเท้างาม ประดิษฐานลงด้วยดี
๕. เป็นผู้มีผิวพรรณสดใส
๖. มีรูปโฉมงามสะอาด
๗. เป็นผู้อ่อนโยน
๘. เป็นผู้มีความสุข
๙. เป็นผู้แกล้วกล้า
๑๐.เป็นผู้มีกำลังมาก
๑๑. มีถ้อยคำสละสลวยเพราะพริ้ง
๑๒. มีบริษัท(บริวาร)รักใคร่ไม่แตกแยกจากตน
๑๓. เป็นคนไม่สะดุ้งตกใจกลัวต่อเวรภัย
๑๔. ข้าศึกศัตรูทำร้ายไม่ได้
๑๕. ไม่ตายด้วยความเพียรฆ่าของผู้อื่น
๑๖. มีบริวารหาที่สุดมิได้
๑๗. มีรูปร่างสวยงาม
๑๘. มีทรวดทรงสมส่วน
๑๙. มีความเจ็บไข้น้อย
๒๐. ไม่มีเรื่องเศร้าโศก เสียใจ
๒๑. เป็นที่รักของชาวโลก
๒๒.ไม่พลัดพรากจากสิ่งที่รักและชอบใจ
๒๓. มีอายุยืน
ศีลข้อที่ ๒ อทินนาทานา เวรมณี... เว้นจากการลักทรัพย์ด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นลัก
ศีลข้อที่ ๒ เว้นจากการลักทรัพย์ ต้องประกอบด้วยองค์ ๕ คือ
๑. ทรัพย์หรือสิ่งของนั้นมีเจ้าของหวงแหน
๒. รู้อยู่ว่าทรัพย์นั้นมีเจ้าของหวงแหน
๓. มีจิตคิดจะลักทรัพย์นั้น
๔. มีความพยายามลักทรัพย์นั้น
๕. ลักทรัพย์ได้ด้วยความพยายามนั้น
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า อทินนาทาน อันบุคคลเสพ(ประพฤติ)แล้วเจริญแล้ว(ทำจนเป็นปกติ) กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานในเปรตวิสัย วิบากแห่งอทินนาทาอย่างเบาบางที่สุด ย่อมยังความพินาศแห่งโภคะให้เป็นไปแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์มีสมบัติก็ต้องพินาศ เมื่อมีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์อีกจะได้รับผล ๖ ประการ คือ
๑. เป็นคนด้อยด้วยทรัพย์
๒. เป็นคนยากจน
๓. เป็นคนอดอยาก
๔. ไม่ได้สมบัติที่ตนต้องการ
๕. ต้องพินาศในการค้า
๖. ทรัพย์พินาศเพราะภัยภิบัติต่างๆ เช่น อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ราชภัย โจรภัย เป็นต้น
ถ้าเรารักษาศีลข้อที่ ๒ แล้วเราจะได้อะไร ?
๑. ได้รับผลในปฏิสนธิกาล คือ ได้เกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาเรียกว่า กามสุคติภภูมิ
๒. ได้รับผลในปวัตติกาล คือหลังจากเกิดเป็นมนุษย์แล้วจะได้รับผลอีก 11 ประการ
อานิสงส์ของการรักษาศีล ข้อที่ ๒ มี ๑๑ ประการ
๑. เป็นผู้มีทรัพย์มาก
๒. มีข้าวของและอาหารมาก
๓. หาบริโภคทรัพย์ได้ไม่สิ้นสุด
๔. โภคทรัพย์ที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น
๕. โภคทรัพย์ที่ได้ไว้แล้วก็ยั่งยืนถาวร
๖. หาสิ่งที่ปรารถนาได้รวดเร็ว
๗. สมบัติไม่กระจายด้วยภัยต่างๆ
๘. หาทรัพย์ได้โดยไม่ถูกแบ่งแยก
๙. ได้โลกุตตรทรัพย์ คือนิพพาน
๑๐. อยู่ที่ไหนก็เป็นสุข
๑๑. จะไม่รู้ ไม่เคย ได้ยินคำว่าไม่มี
ศีลข้อที่ ๓ กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี... เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
ศีลข้อที่ ๓ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม ต้องประกอบด้วยองค์ ๔ คือ
๑. หญิงหรือชายที่ไม่ควรละเมิด คือ หญิงที่ไม่ใช่ภรรยา หรือชายที่ไม่ใช่สามีของตน หญิงหรือชายที่อยู่ปกครองของบิดา มารดา หรือกรณีที่บุพพการี เสียชีวิต แต่มีผู้ปกครองอื่นดูแลอยู่ เช่น ลุง ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย เป็นต้น
๒. มีจิตคิดจะเสพเมถุน
๓. ประกอบกิจในการเสพเมถุน
๔. ยังอวัยวะเพศให้ถึงกัน
อธิบายองค์ที่ ๑ ให้ละเอียดอีกที หญิง ๒๐ จำพวกที่เมื่อเราละเมิดแล้วมีความผิดคือ
๑.หญิงที่มีมารดาปกครอง
๒.หญิงที่มีบิดาปกครอง
๓.หญิงที่มีทั้งมารดาและบิดาปกครอง
๔.หญิงที่มีพี่สาวปกครองหรือมีน้องสาวดูแลรักษาหรือหวงอยู่
๕.หญิงที่มีพี่ชายปกครองหรือมีน้องชายดูแลรักษาหรือหวงอยู่
๖.หญิงที่มีญาติปกครอง
๗.หญิงที่มีตระกูลเดียวกันหรือเชื้อชาติเดียวกันเป็นผู้ปกครอง
๘.หญิงที่มีผู้ประพฤติปฏิบัติศีลธรรมด้วยกันเป็นผู้ปกครอง เช่น แม่ชีมีหัวหน้าชีปกครอง เป็นต้น
๙.หญิงที่กษัตริย์หรือผู้มีอำนาจได้จองตัวเอาไว้
๑๐.หญิงที่มีคู่หมั่น
๑๑.หญิงที่ถูกผู้อื่นซื้อตัวมา
๑๒.หญิงที่สมัครใจไปอยู่กับชาย (คนอื่นแล้ว)คือหญิงที่มีสามีแล้ว
๑๓.หญิงที่ยอมเป็นภรรยาของชาย (คนอื่นแล้ว)โดยหวังในทรัพย์สินเงินทอง คือหญิงที่มีสามีแล้วอีกประเภทหนึ่ง
๑๔.หญิงที่ยอมเป็นภรรยาของชาย (คนอื่นแล้ว)โดยหวังในเครื่องนุ่งห่ม
๑๕.หญิงที่มีสามีแล้วโดยการทำพิธีแต่งงาน
๑๖.หญิงที่เป็นภรรยาของชายคนอื่น โดยชายคนนั้นเป็นผู้ช่วยให้พ้นจากการแบก ของขายคือช่วยให้พ้นจากความยากลำบากนั่นเอง
๑๗.หญิงที่มีสามีแล้ว โดยเมื่อก่อนเป็นเชลยแล้วภายหลังตกมาเป็นภรรยาของนายเชลยนั้น
๑๘.หญิงที่มีสามีแล้ว โดยเมื่อก่อนเป็นลูกจ้างแล้วภายหลังตกมาเป็นภรรยาของนายจ้างนั้น
๑๙.หญิงที่มีสามีแล้ว โดยเมื่อก่อนเป็นทาสแล้วภายหลังตกมาเป็นภรรยาของนายทาสนั้น
๒๐.หญิงที่เป็นภรรยาของชายชั่วครั้งชั่วคราว แล้วถูกล่วงละเมิดในขณะที่ทำหน้าที่เป็นภรรยาของชายคนอื่นอยู่ เช่นหญิงขายบริการที่อยู่ในช่วงสัญญากับชายคนหนึ่งอยู่ แต่กลับไปมีสัมพันธ์กับชายอีกคนหนึ่ง เป็นต้น
ทั้งหมดนี้เป็นการระบุรวบรวมเอาไว้ตั้งแต่สมัยโบราณ บางข้อจึงดูแปลกๆอยู่บ้าง เพราะประเพณีที่แตกต่างกันออกไป ที่นำมาแสดงเอาไว้ก็เพื่อให้ครบถ้วนตามตำราและเอาไว้ใช้ในการเทียบเคียงกับยุคปัจจุบัน
สำหรับผู้ที่ไม่เข้าข่ายต้องห้ามก็เช่น ชายหญิงที่เป็นสามีภรรยากัน หญิงขายบริการที่บิดา มารดา และผู้ปกครองทั้งหลายยินยอมพร้อมใจให้ทำอาชีพนั้น
ทั้งนี้ต้องไม่อยู่ในช่วงสัญญากับคนอื่น ด้วยหญิงที่ไม่มีผู้ใดปกครองดูแลและไม่มีเจ้าของหวงอยู่ (คือหญิงที่มีอิสระในตัวเองอย่างแท้จริง)
หญิงที่ได้รับความยินยอมจากใจจริงของผู้ปกครองและผู้ที่เป็นเจ้าของ (เช่น บิดามารดา สำหรับหญิงที่มีสามีแล้วต้องได้รับอนุญาตจากสามีก่อน) โดยทุกกรณี ถ้าฝ่ายชายมีภรรยาแล้วต้องได้รับอนุญาตจากภรรยาก่อนด้วย
โดยสรุปก็คือจะต้องไม่ทำให้ใคร (ผู้ที่มีสิทธิ์โดยชอบธรรมในตัวหญิงและชายนั้น) ไม่พอใจหรือรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจที่เราไปละเมิดบุคคลเหล่านั้น
ทั้งหมดนี้เป็นการระบุรวบรวมเอาไว้ตั้งแต่สมัยโบราณ บางข้อจึงดูแปลกๆอยู่บ้าง เพราะประเพณีที่แตกต่างกันออกไป ที่แสดงเอาไว้ก็เพื่อให้ครบถ้วนตามตำราและเอาไว้ใช้ในการเทียบเคียงกับยุคปัจจุบัน
สมัยนี้จะมีพวกนักเรียนนักศึกษาที่แอบมีอะไรกันก่อนโดยที่ผู้ปกครองไม่รับรู้ บางคนก็ฟันแล้วทิ้งก็ผิดเหมือนกัน เพราะหญิงที่ล่วงละเมิดย่อมมีผู้ปกครองดูแล
ถ้าไม่เว้นจากการประพฤติผิดในกาม(ผิดศีลข้อ๓)จะเกิดอะไรขึ้น ... พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า บุคคลเสพแล้ว เจริญให้มากแล้วย่อมยังสัตว์ให้ตกนรก ยังให้กำเนิดในสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย
เมื่อวิบากกรรมเริ่มเบาบางลงมีโอกาสได้เกิดเป็นมุษย์ ด้วยเศษแห่งวิบากกรรม ขอย้ำน่ะครับว่าเศษวิบากกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่ก่อนหน้าที่จะได้เกิดในกำเนิดมนุษย์ต้องทนทุกข์ทรมานในนรก ในเปรตวิสัย ในสัตว์เดรัจฉานเป็นอันมากตามลำดับ เมื่อวิบากกรรมเบาบางลงจนมีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์จึงได้รับเศษแห่งวิบากกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่
ผิดกาเมสุมิจฉาจาร(ศีลข้อ๓) แล้วจะได้รับผลยังไง?
หากเกิดเป็นมนุษย์อีกจะได้รับผล ๑๑ ประการ คือ
๑. มีผู้เกลียดชังมาก
๒. มีผู้ปองร้ายมาก
๓. ขัดสนทรัพย์
๔. ยากจนอดอยาก
๕. ต้องเกิดเป็นหญิง
๖. ต้องเกิดเป็นกระเทย
๗. หากเป็นชาย จะเกิดอยู่ในตระกูลต่ำ
๘. ได้รับความอับอายเป็นอาจิณ
๙. ร่างกายไม่สมประกอบ
๑๐. มากไปด้วยความวิตกกังวล
๑๑. พลัดพรากจากผู้ที่ตนรัก
ผล ๑๑ ประการนี้เป็นเพียงเศษของกรรมที่ได้รับ หลังจากตกนรกไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือหลังจากไปเกิด เป็นเปรตมาแล้ว เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะได้รับผลของกาเมสุมิจฉาจาร(ประพฤติผิดศีลข้อ๓) ในปวัตติกาลดังกล่าวแล้ว
แล้วถ้าเราตั้งใจรักษาศีลข้อ๓ คือเว้นจากการประพฤติผิดในกาม เราจะได้รับผลอย่างไร?
การละเว้นจากการประพฤติผิดในกามเสียได้ จะได้รับผล ๒ ขั้น คือ
๑. ได้รับผลใน ปฏิสนธิกาล คือเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาเรียกว่าได้ปฏิสนธิในกามสุคติภูมิ
๒. ได้รับผลใน ปวัตติกาล คือ หลังจากเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จะได้รับผลอีก ๒๐ ประการ
อานิสงส์ของการรักษาศีลข้อที่ ๓ มี ๒๐ ประการ
๑. ไม่มีข้าศึกศัตรู
๒. เป็นที่รักของคนทั่วไป
๓. นอนหลับเป็นสุข
๔. ตื่นก็เป็นสุข
๕. พ้นภัยในอบายภูมิ (อบายภูมิ คือ เปรต สัตว์นรก อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน)
๖. ไม่เป็นบุคคลอาภัพ ไม่เกิดเป็นหญิงหรือกระเทย
๗. ไม่โกรธง่าย
๘. ทำอะไรก็ได้โดยเรียบร้อย
๙. ทำอะไรเปิดเผยแจ่มแจ้ง
๑๐. มีความสง่า คอไม่ตก
๑๑. หน้าไม่ก้ม มีอำนาจ
๑๒. มีแต่เพื่อนรักทั้งบุรุษและสตรี
๑๓. มีอินทรีย์ 5 บริบูรณ์ (ศรัทธา สติ วิริยะ สมาธิ ปัญญา)
๑๔. มีลักษณะบริบูรณ์
๑๕. ไม่มีใครรังเกียจ
๑๖. ขวนขวายน้อย ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมาก
๑๗. อยู่ที่ไหนก็เป็นสุข
๑๘. ไม่ต้องกลัวภัยจากใคร
๑๙. ไม่ค่อยพลัดพรากจากของที่รัก
๒๐. หาข้าว น้ำ ที่อยู่ เครื่องนุ่งห่มได้ง่าย
ศีลข้อที่ ๔ คือ เว้นจากการพูดเท็จ พูดไม่เป็นความจริง พูดโกหกหรือพูดมุสา พูดเพ้อเจ้อ
ศีลข้อที่ ๔ เว้นจากการพูดเท็จ ต้องประกอบด้วยองค์ ๔ คือ
๑. เรื่องนั้นไม่จริง
๒. มีจิตคิดจะพูดให้คลาดเคลื่อนไปจากความจริง
๓. พยายามที่จะพูดให้คลาดเคลื่อไปจากความจริง
๔. คนฟังเข้าใจความหมายตามที่พูดนั้น
ถ้าไม่เว้นจากมุสาวาท หรือพูดเท็จจะเกิดอะไรขึ้น....พระพุทธเจ้าตรัสว่า มุสาวาทอันบุคคลเสพแล้วเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วย่อมยังสัตว์ให้ป็นไปในนรกในกำเนิดดิรัจฉานในเปรตวิสัย
ผลจากการกล่าวมุสาวาทอย่างเบาที่สุดย่อมยังการแตกจากมิตรให้เป็นไปแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์
การกล่าวมุสาวาทแล้วจะมีผลอย่างไร ?
การกล่าวมุสาวาท หรือการพูดเท็จปราศจากความจริง เมื่อกล่าวออกไปแล้วจะได้รับผล ๒ ขั้น คือ
๑. ได้รับผลใน ปฏิสนธิกาล คือเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรตวิสัย
๒. ได้รับผลใน ปวัตติกาล คือ หลังเกิดแล้ว และผลที่จะได้รับในปวัตติกาลนี้ จะครบองค์มุสาวาท หรือไม่ก็ตาม ถ้าได้เกิดมาเป็นมนุษย์จะได้รับผลร้ายอีก ๘ ประการ คือ
๑. พูดไม่ชัด
๒. ฟันไม่เป็นระเบียบ
๓. ปากเหม็นมาก
๔. ไอตัวร้อนจัด
๕. ตาไม่อยู่ในระดับปกติ
๖. กล่าววาจาด้วยปลายลิ้นและปลายปาก
๗. ท่าทางไม่สง่าผ่าเผย
๘. จิตไม่เที่ยงคล้ายคนวิกลจริต
อานิสงส์แห่งการรักษาศีล ข้อที่ ๔ มี ๑๔ ประการ
๑. มีอินทรีย์ทั้ง ๕ ผ่องใส
๒. มีวาจาไพเราะอ่อนหวาน
๓. มีฟันเสมอชิด สะอาด
๔. ไม่อ้วนจนเกินไป
๕. ไม่ผอมจนเกินไป
๖. ไม่สูงจนเกินไป
๗. ไม่เตี้ยจนเกินไป
๘. กลิ่นปากหอมเหมือนดอกบัว
๙. ได้สัมผัสแต่ที่เป็นสุข
๑๐. มีบริวารล้วนขยันขันแข็ง
๑๑. บุคคลอื่นจะเชื่อถือถ้อยคำที่พูด
๑๒. ลิ้นบางแดง อ่อนเหมือนกลีบดอกบัว
๑๓. ใจไม่ฟุ้งซ่าน
๑๔. ไม่ติดอ่าง ไม่เป็นใบ้
ศีลข้อ ที่ ๕ คือ สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวรมณี เว้นจากการดื่มสุราและเมรัย รวมถึงเครื่องดองของเมาและยาเสพติดให้โทษทุกชนิด
เรามาดูองค์ประกอบของศีล ๕ กันดีกว่าครับ
ศีลข้อที่ ๕ เว้นจากการดื่มน้ำเมา รวมถึงสิ่งเสพติดให้โทษทุกชนิด ต้องประกอบด้วยองค์ ๔ คือ
๑. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเมา(รวมถึงสิ่งเสพติดทุกชนิด)
๒. มีจิตคิดจะดื่ม(เสพ)
๓. พยายามดื่ม(เสพ)
๔. น้ำเมาหรือสิ่งที่เสพนั้นล่วงพ้นลำคอลงไป
ศีลข้อ ที่ ๕ เว้นจากการดื่มสุราเมรัย ของมึนเมา สิ่งเสพติดให้โทษทุกชนิด
ถ้าไม่เว้นจะได้โทษอย่างไร ?
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัย อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว ยังสัตว์ให้เกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน ในเปรตวิสัย
ผลแห่งการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัยอย่างเบาที่สุด ย่อมยังความเป็นบ้าใบ้ให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์
ถ้าผิดศีล ข้อที่ ๕ ผลได้รับเป็นอย่างไร
ผลที่จะได้รับทีมี ๒ ขั้น คือ
๑. ได้ผลในปฏิสนธิกาล เกิด ในนรก ดิรัจฉาน เปรตวิสัย
๒. ได้รับผลในปวัตติกาล คือหลังจากเกิดแล้วและผลที่จะได้รับในปวัตติกาลนี้จะครบองค์หรือไม่ก็ตามถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์จะได้รับผลจากการดื่มสุรา(และสิ่งเสพติดให้โทษทุกชนิด) ๖ ประการ
ผลจากการดื่มสุราและสิ่งเสพติดให้โทษทุกชนิด ๖ ประการ คือ
๑. ทรัพย์ถูกทำลาย
๒. เกิดวิวาทบาดหมาง
๓. เป็นบ่อเกิดแห่งโรค
๔. เสื่อมเกียรติ
๕. หมดยางอาย
๖. ปัญญาเสื่อมถอยหรือพิการทางปัญญา
รักษาศีล ข้อที่ ๕ จะได้อะไร ?
ถ้าเว้นจากการดื่มสุรา เมรัย หรือเว้นจากสิ่งเสพติดให้โทษจะได้ผลดี ๒ ประการ คือ
๑. ได้รับผลดีในการปฏิสนธิกาล คือจะเกิดในกามสุคติภูมิ มีมนุษย์หรือสวรรค์เป็นที่เกิด
๒. ได้รับผลในปวัตติกาล คือหลังจากเกิดแล้ว ถ้าได้เป็นมนุษย์จะได้รับอานิสงส์จากการเว้นดื่มน้ำเมาและสิ่งเสพติดให้โทษทุกชนิด ๓๕ ประการ
อานิสงส์จากการเว้นดื่มน้ำเมา ๓๕ ประการ คือ
๑. รู้กิจการอดีต อนาคต ปัจจุบันได้รวดเร็ว
๒. มีสติตั้งมั่นทุกเมื่อ
๓. มีปัญญาดี มีความรู้มาก
๔. มีแต่ความสุข
๕. มีแต่คนนับถือ ยำเกรง
๖. มีความขวนขวายน้อย (หากินง่าย)
๗. มีปัญญามาก
๘. มีปัญญาบันเทิงในธรรม
๙. มีความเห็นถูกต้อง
๑๐. มีศีลบริสุทธิ์
๑๑. มีใจละอายแก่บาป
๑๒. รู้จักกลัวบาป
๑๓. เป็นบัณฑิต
๑๔. มีความกตัญญู
๑๕. มีกตเวที
๑๖. พูดแต่ความสัตย์
๑๗. รู้จักเฉลี่ยเจือจาน
๑๘. ซื่อตรง
๑๙. ไม่เป็นบ้า
๒๐. ไม่เป็นใบ้
๒๑. ไม่มัวเมา
๒๒. ไม่ประมาท
๒๓. ไม่หลงใหล
๒๔. ไม่หวาดสะดุ้งกลัว
๒๕. ไม่บ้าน้ำลาย
๒๖. ไม่งุนงง ไม่เซ่อเซอะ
๒๗. ไม่มีความแข่งดี
๒๘. ไม่มีความริษยา
๒๙. ไม่ส่อเสียดใคร
๓๐. ไม่พูดหยาบ
๓๑. ไม่พูดเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์
๓๒. ไม่เกียจคร้านทุกคืนวัน
๓๓. ไม่ตระหนี่
๓๔. ไม่โกรธง่าย
๓๕. ฉลาดรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์และในสิ่งที่เป็นโทษ
อานิสงส์ของความถึงพร้อมด้วยศีล ๕
พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ว่า
ดูก่อนคฤหบดีทั้งหลาย อานิสงส์ของความถึงพร้อมด้วยศีลมี ๕ ประการ คือ
๑. ย่อมประสบซึ่งกองแห่งโภคใหญ่ คือความไม่ประมาทอันเป็นคุณอย่างยิ่ง
๒. ย่อมมีชื่อเสียงดีงามฟุ้งขจรไป
๓. เข้าไปในบริษัทใดก็ตามย่อมเป็นผู้ไม่หลงตาย ย่อมเป็นผู้แกล้วกล้าไม่เก้อเขิน
๔. ผู้ที่มีศีลสมบูรณ์ ย่อมไม่เป็นผู้ไม่หลงตาย
๕. เบี้องหน้าเมื่อการแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
ต.ป.ฎ.เล่ม ๑๐/๑๐๒
ดูก่อนอานนท์ ศีลทั้งหลายเป็นกุศล มีความไม่เดือดร้อนเป็นประโยชน์ มีความไม่เดือดร้อนเป็นอานิสงส์
อานิสงส์การสมาทาน ศีล ๕ มี ๑๐๓ ประการ
ศีลข้อที่ ๑ มีอานิสงส์ ๒๓ ประการ
ศีลข้อที่ ๒ มีอานิสงส์ ๑๑ ประการ
ศีลข้อที่ ๓ มีอานิสงส์ ๒๐ ประการ
ศีลข้อที่ ๔ มีอานิสงส์ ๑๔ ประการ
ศีลข้อที่ ๕ มีอานิสงส์ ๓๕ ประการ
รวม ๑๐๓ ประการดังกล่าวมาแล้ว
ผู้สมาทานศีล ๕ ละโลกนี้ไปแล้ว มีทางไปสู่สวรรค์ ๖ ภูมิ แต่ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ทำบุญให้ทานบ้างแต่ไม่มีศีล ๕ รองรับ จะตกสู่อบายภูมิ๔ เปรต สัตว์นรก อสูรกาย สัตว์เดรัจฉานเรียกว่าทุคติภูมิ
****ภพหรือภูมิก็คือที่อยู่ที่ๆเราจะไปเกิดและดำเนินชีวิตอยู่***
กามสุคติภูมิหรือเรียกอีกอย่างหนึงว่าสุคติภูมิ แบ่งออกเป็น ๗ ภูมิ ได้แก่ มนุษย์ภูมิ ๑ และเทวภูมิอีก ๖
เทวภูมิก็คือที่อยู่ของเทวดามีอยู่ ๖ ชั้นตามอำอาจบุญบารมีที่ได้สั่งสมกระทำไว้ตอนเกิดเป็มนุษย์ คือ
๑.จาตุมหาราชิกาภูมิ
๒.ดาวดึงสาภูมิ
๓.ยามาภูมิ
๔.ดุสิตภูมิ
๕.นิมมานนรดีภูมิ
๖.ปรมินมิตวสวัตตีภูมิ
รักษาศีล ๕ ข้อ ให้สม่ำเสมอทำบุญใส่บาตร สำหรับผู้มีศีล ประพฤติชอบด้วย กาย วาจา ใจ ละโลกนี้ไปแล้วจุติจิตไปปฏิสนธิในโลกสวรรค์ ทันที ผู้สมาทานศีล ๕ ศีล ๘ ทุกวัน มีโอกาสไปอุบัติใน สุคติภูมิ ๖ ขั้นนั้น จะไปอุบัติในเทวโลกภูมิใดนั้นแล้วแต่กำลังบุญกุศลทำไว้ในโลกมนุษย์
มีปัญหาถามขึ้นมาว่าแล้วเราจะต้องไปวัดเพื่อรับศีลกับทุกวันเลยหรือ?
ไม่จำเป็นหรอกครับถ้าเราตั้งใจจะทำความดีที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ เพียงแต่ว่าเมื่อก่อนคนเราไม่รู้ว่าศีลคืออะไร เราก็ไปขอกับพระเพื่อให้ท่านอธิบายให้ฟังว่าอานิสงส์ของการรักษาคืออะไรแล้วเราก็รับศีลมาประพฤติปฏิบัติ ซึ่งตอนนี้ก็ยังมีธรรมเนียมอย่างนี้อยู่ พอเราสมาศีลเสร็จพระท่านก็จะบอกอานิสงส์อย่างย่อให้ฟัง คือ สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโสธเย แปลเป็นไทยก็คือ ศีลเป็นเหตุให้ถึงสุคติ ศีลเป็นเหตุให้ได้โภคทรัพย์ ศีลเป็นเหตุให้ถึงพระนิพพาน เพราะฉะนั้นเราควรรักษาศีลให้บริสุทธิ์
ถ้าเราจะสมาทานศีลเองก็ให้สมาทานศีลหน้าหิ้งพระก็ได้ ตอนเช้าหรือเย็น กลางคืน ก่อนนอนแล้วแต่สะดวก หรือจะสมาทานทุกครั้งที่รู้ตัวว่าทำผิดศีลข้อนั้นๆก็ได้ โดยที่เราไม่ได้อยู่หน้าหิ้งพระได้เหมือนกันเพราะทุกอย่างอยู่ที่เจตนาของเราเองเป็นสำคัญ เพราะถ้าเรารับศีลกับพระก็ดีหรือสมาทานหน้าหิ้งพระก็ดี โดยที่ปากเราก็พูดไปงั้นๆ แต่ไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติจริงก้อไม่ได้ผลอะไร เพราะฉะนั้นทุกอย่างอยู่ที่เจตนาคือความตั้งใจที่จะประพฤติปฏิบัติรักษาศีลให้บริสุทธิ์นั่นคือหัวใจสำคัญ
เสริมอีกนิดน่ะครับเกี่ยวกับองค์ประกอบของศีลแต่ละข้อ จากเรื่ององค์ประกอบของศีลนั้น ทำให้ทราบว่า ถ้าไม่ครบองค์ประกอบของศีล ไม่ถือว่า ศีลขาด เช่น การฆ่าสัตว์มีองค์ ๕ แต่ทำไปแค่องค์ ๔ อย่างนี้เรียกว่าศีลทะลุ และถ้าลดหลั่นลงมาอีก ก็จะเรียกว่า ศีลด่าง ศีลพร้อย ตามลำดับ นอกจากนี้ พระอรรถกถาจารย์ ยังได้แสดงหลักสำหรับวินิจฉัยว่า การละเมิดศีลแต่ละข้อจะมีโทษมากหรือน้อย นั้นขึ้นอยู่กับสิ่งต่อไปนี้ด้วย คือ
สำหรับศีลข้อที่ ๑ การฆ่าสัตว์ จะมีโทษมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ
๑. พิจารณาจากคุณประโยชน์ การฆ่าสัตว์ที่มีคุณมาก(เช่นสัตว์ที่เราเลี้ยงไว้ไถนา หรือพวกวัวนม ซึ่งพวกนี้ถือว่ามันให้คุณเรา) จะมีโทษมากกว่าการฆ่าสัตว์ที่มีคุณน้อยหรือไม่มีคุณ เช่น ฆ่าพระอรหันต์ มีโทษมากกว่าฆ่าปุถุชน ฆ่าสัตว์ที่ช่วยงานมีโทษมากกว่าฆ่าสัตว์ดุร้าย เป็นต้น
๒. ขนาดกายของสัตว์ก็สำคัญ สำหรับสัตว์ดิรัจฉานจำพวกที่ไม่มีคุณเหมือนกัน การฆ่าสัตว์ใหญ่ มีโทษมาก กว่าการฆ่าสัตว์เล็ก
๓. ความพยายาม มีความพยายามในการฆ่ามาก มีโทษมาก มีความพยายามน้อย มีโทษน้อย
๔. กิเลสหรือเจตนา กิเลสหรือเจตนาแรง มีโทษมาก กิเลสหรือเจตนาอ่อน มีโทษน้อย เช่น การฆ่าด้วยโทสะ หรือความเกลียดชัง มีโทษมากกว่าการฆ่าเพื่อป้องกันตัวอย่างงี้ก็มีโทษมาก
สำหรับศีลข้อที่ ๒ จะการลักทรัพย์ มีโทษมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ
๑. คุณค่าของทรัพย์สินสิ่งของนั้น
๒. คุณความดีของผู้เป็นเจ้าของทรัพย์นั้น
๓. ความพยายามในการลักทรัพย์นั้น
สำหรับศีลข้อที่ ๓ การประพฤติผิดในกาม จะมีโทษมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ
๑. คุณความดีของผู้ที่ถูกละเมิด
๒. ความแรงของกิเลส
๓. ความเพียรพยายามในการประพฤติผิดในกามนั้น
สำหรับศีลข้อที่ ๔ การพูดเท็จ มีโทษมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ
๑. ความเสียหายที่เกิดขึ้นว่ามากน้อยเพียงใด
๒. คุณความดีของผู้ที่ถูกละเมิด
๓. ผู้พูดนั้นเป็นใคร เช่น
- คฤหัสถ์ (ผุ้ครองเรือน) ที่โกหกว่า " ไม่มี " เพราะไม่อยากให้ของๆ ตน อย่างนี้มีโทษน้อย แต่การเป็นพยานเท็จมีโทษมาก
- บรรพชิต พูดเล่นมีโทษน้อย แต่การพูดว่าตน "รู้เห็น " ในสิ่งที่ตนไม่รู้ไม่เห็น จึงมีโทษมาก
สำหรับศีลข้อที่ ๕ การดื่มน้ำเมา มีโทษมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ
๑. อกุศลจิต หรือกิเลสในการดื่ม
๒. ปริมาณที่ดื่ม
๓. ผลที่เกิดจากการกระทำผิดพลาด ชั่วร้าย ที่ตามมาจากการดื่มน้ำเมา
อย่างไรก็ตาม การละเมิดศีลในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นศีลขาด ศีลทะลุ ศีลต่าง หรือ ศีลพร้อย ล้วนแล้วแต่ทำให้ใจเราไม่บริสุทธิ์ หรือเรียกว่า “บาป” เป็นหนทางสู่ประตูอบายภูมิ ในการรักษาศีลที่ถูกต้องและบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นนั้น ควรกระทำควบคู่กับการรักษากุศลกรรมบถ ๑๐ และตั้งใจว่า เราจะไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง เราจะไม่ยุยงให้คนอื่นผิดศีล และเมื่อเห็นคนอื่นผิดศีลแล้วเราจะไม่พลอยยินดี
หลักกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ดังนี้
๑. เว้นจากการฆ่าสัตว์ คือไม่ฆ่าสัตว์ นับตั้งแต่ฆ่าคนทั่วไป ฆ่าสัตว์ ที่มีคุณ และฆ่าสัตว์อื่นๆ
เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้ทุกคนรู้จักแก้ปัญหาโดยสันติวิธี ไม่ใช่โดยวิธีฆ่าอีกฝ่ายหนึ่งเสีย เพราะการฆ่านั้น ผู้ฆ่าย่อมเกิดความทารุณโหดร้ายขึ้นในใจ ทำให้ใจเศร้าหมอง และตนก็ต้องรับผลกรรมต่อไป และต้องคอยหวาดระแวงว่า ญาติพี่น้องเขาจะมาทำร้ายตอบ เป็นการแก้ปัญหา ซึ่งจะสร้างปัญหาอื่นๆ ต่อมาโดยไม่จบสิ้น
๒. เว้นจากการลักทรัพย์ คือไม่แสวงหาทรัพย์มาโดยทางทุจริต เช่น
ลัก = ขโมยเอาลับหลัง
ฉก = ชิงเอาซึ่งหน้า
กรรโชก = ขู่เอา
ปล้น = รวมหัวกันแย่งเอา
ตู่ = เถียงเอา
ฉ้อ = โกงเอา
หลอก = ทำให้เขาหลงเชื่อแล้วให้ทรัพย์
ลวง = เบี่ยงบ่ายลวงเขา
ปลอม = ทำของที่ไม่จริง
ตระบัด = ปฏิเสธ
เบียดบัง = ซุกซ่อนเอาบางส่วน
สับเปลี่ยน = แอบเปลี่ยนของ
ลักลอบ = แอบนำเข้าหรือออก
ยักยอก = เบียดบังเอาของในหน้าที่ตน
เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้ทุกคนทำมาหาเลี้ยงชีพโดยสุจริต ซึ่งจะทำให้ใช้ทรัพย์ได้เต็มอิ่ม ไม่ต้องหวาดระแวงว่าจะมีใครมาทวงคืน
๓. เว้นจากการประพฤติผิดในกาม คือไม่กระทำผิดในทางเพศ ไม่ลุอำนาจแก่ความกำหนัด เช่น การเป็นชู้กับสามีภรรยาคนอื่น การข่มขืน การฉุดคร่าอนาจาร
เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้ทุกคนมีจิตใจสูง เคารพในสิทธิของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เป็นการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม
๔. เว้นจากการพูดเท็จ คือต้องไม่เจตนาพูดให้ผู้ฟังเข้าใจผิดไปจากความเป็นจริง ซึ่งรวมถึงการทำเท็จให้คนอื่นหลงเชื่อรวม ๗ วิธีด้วยกัน คือ
พูดปด = โกหกซึ่งๆ หน้า
ทนสาบาน = อ้างสิ่งต่างๆ ทำให้ผู้อื่นหลงเชื่อ
ทำเล่ห์กระเท่ห์ = ทำกลอุบายหรือเงื่อนงำอันอาจทำให้คนอื่นหลงเข้าใจผิด
มารยา = เช่น เจ็บน้อยทำเป็นเจ็บมาก
ทำเลศ = ทำทีให้ผู้อื่นตีความคลาดเคลื่อนเอาเอง
เสริมความ = เรื่องนิดเดียวทำให้เห็นเป็นเรื่องใหญ่
อำความ = เรื่องใหญ่ปิดบังไว้ให้เป็นเรื่องเล็กน้อย
การเว้นจากพูดเท็จต่างๆ เหล่านี้ หมายถึง
- ไม่ยอมพูดคำเท็จเพราะเหตุแห่งตน กลัวภัยจะมาถึงตนจึงโกหก
- ไม่ยอมพูดคำเท็จเพราะเหตุแห่งคนอื่น รักเขาอยากให้เขาได้ ประโยชน์จึงโกหก หรือเพราะเกลียดเขา อยากให้เขาเสียประโยชน์จึงโกหก
- ไม่ยอมพูดเท็จเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้าง เช่น อยากได้ทรัพย์สินเงินทองสิ่งของ จึงโกหก
เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้ทุกคนมีความสัตย์จริง กล้าเผชิญหน้ากับความจริงเยี่ยงสุภาพชน ไม่หนีปัญหา หรือหาประโยชน์ใส่ตัวด้วยการพูดเท็จ
๕. เว้นจากการพูดส่อเสียด คือไม่เก็บความข้างนี้ไปบอกข้างโน้น เก็บความข้างโน้นมาบอกข้างนี้ ด้วยเจตนาจะยุแหย่ให้เขาแตกกัน ควรกล่าวแต่ถ้อยคำที่ทำให้เกิดความสมัครสมานสามัคคี
เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการไม่ให้คนเราหาความชอบด้วยการประจบสอพลอ ไม่เป็นบ่างช่างยุ ต้องการให้หมู่คณะสงบสุขสามัคคี
๖. เว้นจากการพูดคำหยาบ คือไม่พูดคำซึ่งทำให้คนฟังเกิดความระคายใจ และส่อว่าผู้พูดเองเป็นคนมีสกุลต่ำ ได้แก่
คำด่า = พูดเผ็ดร้อน แทงหัวใจ พูดกดให้ต่ำ
คำประชด = พูดกระแทกแดกดัน
คำกระทบ = พูดเปรียบเปรยให้เจ็บใจเมื่อได้คิด
คำแดกดัน = พูดกระแทกกระทั้น
คำสบถ = พูดแช่งชักหักกระดูก
คำหยาบโลน = พูดคำที่สังคมรังเกียจ
คำอาฆาต = พูดให้หวาดกลัวว่าจะถูกทำร้าย
เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้ทุกคนเป็นสุภาพชน รู้จักสำรวมวาจาของตน ไม่ก่อความระคายใจแก่ผู้อื่นด้วยคำพูด
๗. เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ คือไม่พูดเหลวไหล ไม่พูดพล่อยๆ สักแต่ ว่ามีปากอยากพูดก็พูดไปหาสาระมิได้ แต่พูดถ้อยคำที่มีสาระ มีหลักฐาน มีที่อ้างอิง ถูกกาลเวลา มีประโยชน์
เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้ทุกคนมีความรับผิดชอบต่อถ้อยคำของตน
๘. ไม่โลภอยากได้ของเขา คือไม่เพ่งเล็งที่จะเอาทรัพย์ของคนอื่นในทางทุจริต
เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้คนเราเคารพในสิทธิข้าวของของผู้อื่น มีจิตใจสงบไม่ฟุ้งซ่านไหวกระเพื่อมไปเพราะความอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่น ทำให้มีใจผ่องแผ้ว มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ พร้อมที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม
๙. ไม่พยาบาทปองร้ายเขา คือไม่ผูกใจเจ็บ ไม่คิดอาฆาตล้างแค้น ไม่จองเวร มีใจเบิกบาน แจ่มใสไม่ขุ่นมัว ไม่เกลือกกลั้วด้วยโทสะจริต
เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้คนเรารู้จักให้อภัยทาน ไม่คิดทำลาย ทำให้จิตใจสงบผ่องแผ้ว เกิดความคิดสร้างสรรค์
๑๐. ไม่เห็นผิดจากคลองธรรม คือไม่คิดแย้งกับหลักธรรม เช่น มีความเห็นที่เป็น สัมมาทิฏฐิพื้นฐาน ๘ ประการ คือ
๑. เห็นว่าการให้ทานดีจริง ควรทำ
๒. เห็นว่าการบูชาบุคคลที่ควรบูชาดีจริง ควรทำ
๓. เห็นว่าการต้อนรับแขกมีผล ควรทำ
๔. เห็นว่าผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วมีจริง
๕. เห็นว่าโลกนี้โลกหน้ามีจริง
๖. เห็นว่าบิดามารดามีพระคุณต่อเราจริง
๗. เห็นว่าสัตว์ที่เป็นโอปปาติกะมีจริง (นรกสวรรค์มีจริง)
๘. เห็นว่าสมณพราหมณ์ที่หมดกิเลสแล้วมีจริง
หมายเหตุ ข้อ ๕ อาจแยกเป็น โลกนี้มีจริง ๑- โลกหน้ามีจริง ๑
ข้อ ๖ อาจแยกเป็น บิดามีพระคุณจริง ๑ มารดามีพระคุณจริง ๑
ซึ่งถ้าแยกแบบนี้ก็จะรวมได้เป็น ๑๐- ข้อ แต่เนื้อหาเหมือนกัน
เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้คนเรามีพื้นใจดี มีมาตรฐานความคิดที่ถูกต้อง ยึดถือค่านิยมที่ถูกต้อง มีวินิจฉัยถูก มีหลักการ มีแนวความคิดที่ถูกต้อง ส่งผลให้ความคิดในเรื่องอื่น ถูกต้องตามไปด้วย
"เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้สักอย่าง ซึ่งจะเป็นเหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดได้เกิดขึ้น หรือกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เพิ่มพูนไพบูลย์ยิ่งขึ้นเหมือนอย่างสัมมาทิฏฐินี้เลย" องฺ. เอก. ๒๐/๑๘๒/๔๐
คุณธรรมทั้ง ๑๐ ประการนี้ คนทุกคนจำเป็นต้องฝึกให้มีในตน โดยเฉพาะผู้นำ ผู้ที่จะบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคมส่วนรวม จะต้องฝึกให้มีในตนอย่างเต็มที่ จึงจะทำงานได้ผลดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักปฏิบัติที่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้ตนเองพ้นทุกข์นั้น จะต้องมีการรักษาศีลของตนให้สะอาดบริสุทธิ์อยู่เสมอ เมื่อศีลบริสุทธิ์แล้ว จะมีความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติ และเข้าสู่กระแสของมรรค ผล นิพพานในที่สุด
มหาทาน ๕
ทานที่ยิ่งใหญ่ ลงทุนน้อย ได้ผลมาก มี ๕ ประการ คือ
๑. เว้นจากปาณาติบาต คือ เว้นจากการฆ่าสัตว์ เท่ากับให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตสัตว์ทั้งหลาย
๒. เว้นจากอทินนาทาน คือ เว้นจากการลักทรัพย์เท่ากับให้ความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของผู้อื่น
๓. เว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร คือ เว้นประพฤติผิดในกามเท่ากับให้ความบริสุทธิ์กับภรรยา ธิดา และตนเอง
๔. งดเว้นจากมุสาวาท คือ เว้นจากการพูดปด พูดไม่จริง เท่ากับให้ความจริงแก่ผู้อื่น
๕. งดเว้นจากสุรา-เมรัย ไม่เสพ ไม่ดื่ม เท่ากับให้ความปลอดภัยแก่ตนเองและผู้อื่น
พุทธพจน์
ในการสมาทานศีล ๕ รักษาศีล ๕ ไว้ได้นั้นภูมิจิตจะยกสูงขึ้นสู่โสดาปัตติผล
พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า...
" แม้เพียงโสดาปัตติผลเท่านั้นยังประเสริฐกว่าความเป็นเอกราชในแผ่นดิน ประเสริฐกว่าการกำเนิดเป็นเทพในสวรรค์ ประเสริฐกว่าความเป็นใหญ่ในโลกทั้งปวง เมื่อเป็นดังนี้ จะกล่าวไปใยถึง อรหัตผล เล่าว่า....มีผลเลิศเพียงใด "
พระพุทธองค์เทศนาให้พระเจ้าอชาตศัตรูฟัง ว่า......
ภายหลังพระราชบิดาและพระราชมารดาสิ้นพระชนม์แล้ว ได้ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกในการสังคายนาร้อยกรองพระธรรมวินัยครั้งแรก ภายหลังพุทธปรินิพพาน
เมื่อศีล ๕ ทำให้ผู้ประพฤติ ประเสริฐกว่าเทพในสวรรค์ ประเสริฐกว่าความเป็นใหญ่ในโลกทั้งปวง เราควรจะสมาทานศีลห้ารักษาศีลห้าไว้ให้ได้ เมื่อสิ้นอายุขัยแล้วจะได้ไปอุบัติในโลกสวรรค์ ในเทวภูมิ ๖ ภูมินั้น ด้วยกำลังอำนาจของศีล
สมบัติที่หาได้ยาก
(คัดจากพระไตรปิฎก)
๑. คติสมบัติ คือการได้อัตภาพมาเป็นมนุษย์เป็นของยาก
๒.กาลสมบัติ การได้เกิดมาในเวลาที่มีคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นของยาก
๓. ปเทสสมบัติ คือการได้อยู่ในประเทศที่มีพระพุทธศาสนาเป็นของยาก
๔. กุลสมบัติ คือ การได้อยู่ในตระกูลหรือกลุ่มที่เลื่อมใสพระพุทธศาสนาเป็นของยาก
๕. อุปธิสมบัติ คือ การได้อัตภาพบริบูรณ์ไม่พิการ บ้า ใบ้ บอด หนวกเป็นของยาก
๖. ทิฏฐิสมบัติ คือการที่เป็นผู้ที่มีความเห็นถูกต้อง คือ เป็นสัมมาทิฏฐิเป็นของยาก
ใครได้สมบัติครบ ๖ ประการ นี้แล้วได้ชื่อว่าเป็นผู้มีบุญมาก มีวาสนาดี มีกองทุนชีวิตที่สมบูรณ์
ว่ากันมาซะยืดยาวเลยครับหวังว่าคงเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านน่ะครับ ถ้าเรารู้ว่าดี ผมอยากจะให้ทุกคนช่วยกันเผยแพร่ข้อความดีๆเหล่านี้ ให้คนในวงกว้างได้รู้จัก คนในสังคมเราจะได้มีแต่ดีๆไงครับ คงจะจบไว้แค่นี้น่ะครับ มีอะไรดีๆจะมาเล่าให้ฟังใหม่ครับ
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูลเป็นอย่างสูงครับ
http://www.dhammakaya.org/forum/index.php?topic=342.0 (เพิ่มเติมข้อความบางส่วนเพื่อความสมบูรณ์)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น