หลักเกณฑ์พยากรณ์ภาวะโสดาบันของตนเอง
คหบดี ! ในกาลใด
ภัยเวรห้าประการ (ศีล ๕) อันอริยสาวกทำให้สงบรำงับได้แล้ว ด้วย.
อริยสาวกประกอบพร้อมแล้วด้วยโสตาปัตติยังคะสี่ด้วย.
อริยญายธรรมเป็นธรรมที่อริยสาวกเห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้ว
ด้วยดี ด้วยปัญญา ด้วย ;
ในกาลนั้น อริยสาวกนั้น เมื่อหวังอยู่ ก็พยากรณ์ตนด้วยตนนั่นแหละ ว่า “เราเป็นผู้มีนรกสิ้นแล้ว มีกำเนิดเดรัจฉานสิ้นแล้ว มีเปรตวิสัยสิ้นแล้ว มีอบายทุคติวินิบาตสิ้นแล้ว, เราเป็นผู้ถึงแล้วซึ่งกระแส (แห่งนิพพาน) มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อมเป็นเบื้องหน้า” ดังนี้.
คหบดี ! อริยสาวก เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยองค์แห่งการบรรลุซึ่งโสดา ๔ องค์อย่างไรเล่า ?
(๑)
เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไม่หวั่นไหว ใน พรพุทธเจ้า
(๒) เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น
ไม่หวั่นไหว ใน พระธรรม
(๓) เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น
ไม่หวั่นไหวใน พระสงฆ์
(๔) เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยศีลทั้งหลายในลักษณะเป็นที่พอใจของพระอริยเจ้า :เป็นศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นศีลที่เป็นไทจากตัณหา
วิญญูชนสรรเสริญ ไม่ถูกตัณหาและทิฏฐิลูบคลำ เป็นศีลที่เป็นไปพร้อมเพื่อสมาธิ ดังนี้.
คหบดี ! อริยญายธรรม เป็นธรรมที่อริยสาวกเห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดี ด้วยปัญญา นั้นเป็นอย่างไรเล่า ?
อริยสาวกในกรณีนี้ ย่อมพิจารณาเห็นโดยประจักษ์ อย่างนี้ว่า “ด้วยอาการอย่างนี้ :
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี, เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น. เมื่อ
สิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี, เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป : ได้แก่
สิ่งเหล่านี้คือ เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ; เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย
จึงมีวิญญาณ .... ฯลฯ .... ฯลฯ .... เพราะมีภพ เป็นปัจจัย จึงมีชาติ ;
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะ
โทมนัสอุปายาส
ทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน. ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.
เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่มีเหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว
จึงมีความดับแห่งสังขาร ; เพราะมีความดับแห่งสังขาร
จึงมีความดับแห่งวิญญาณ .... ฯลฯ .... ฯลฯ .... เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ ; เพราะมีความดับแห่งชาตินั้นแล, ชรามรณะ
โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น. ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.”
คหบดี ! ในกาลใดแล ภัยเวร ๕ ประการเหล่านี้
เป็นสิ่งที่อริยสาวกทำให้สงบรำงับได้แล้ว ด้วย, อริยสาวก เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยโสตาปัตติยังคะสี่เหล่านี้ ด้วย, อริยญายธรรมนี้ เป็นธรรมอันอริยสาวกเห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดี ด้วยปัญญา ด้วย ; ในกาลนั้น อริยสาวกนั้นปรารถนาอยู่ ก็พยากรณ์ตนด้วยตนนั้นแหละว่า “เราเป็นผู้มีนรกสิ้นแล้ว มี
กำเนิดเดรัจฉานสิ้นแล้ว มีเปรตวิสัยสิ้นแล้ว มีอบายทุคติวินิบาตสิ้นแล้ว, เราเป็นผู้ถึงแล้วซึ่งกระแส (แห่งนิพพาน)
มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อมเป็นเบื้องหน้า” ดังนี้
ผลแห่งความเป็นโสดาบัน
ภิกษุ ทั้งหลาย ! อานิสงส์แห่งการทำให้แจ้ง ซึ่งโสดาปัตติผล ๖ อย่าง
เหล่านี้ มีอยู่, หกอย่าง เหล่าไหนเล่า ? หกอย่าง คือ :-
เป็นบุคคลผู้ เที่ยงแท้ต่อสัทธรรม (สทฺธมฺมนิยโต) ;
เป็นบุคคลผู้ มีธรรมอันไม่รู้เสื่อม (อปริหานธมฺโม) ;
ทุกข์ดับไปทุกขั้นตอนแห่งการกระทำที่กระทำแล้ว;
เป็นบุคคลผู้ ประกอบด้วยอสาธารณญาณ (ที่ไม่ทั่วไปแก่พวกอื่น) ;
เป็นบุคคลผู้ เห็นธรรมที่เป็นเหตุ ; และ
เห็นธรรมทั้งหลาย ที่เกิดมาแต่เหตุ.
ภิกษุ ทั้งหลาย ! เหล่านี้แล อานิสงส์
๖ ประการแห่งการทำให้แจ้งซึ่ง
โสดาปัตติผล.
- ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๙๐/๓๖๘.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น