พรหมวิหาร ๔ ตัดความโกรธ
ต่อแต่นี้ไปก็มาพูดกันถึงการ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา จิตอ่อนโยน อุเบกขา วางเฉย ตัวนี้ถ้ามีจริงๆ จังๆ เป็นกำลังของฌานทรงตัว และจิตน้อมเข้าไปถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ เริ่มต้นก็เป็น พระโสดา กับ สกิทาคา แล้วต่อไปก็มาว่ากันถึงเรื่อง พระอนาคามี ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า เราควรจะมีความรักในจิตใจของเรา ว่าจงอย่ามัวเมาในกามคุณ ๕ เพราะว่าการมัวเมาในกามคุณ ๕ คือ รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ ไม่ได้สร้างประโยชน์ ไม่ได้สร้างความสุข มันเป็นปัจจัยของความทุกข์
คนที่เขาแต่งงานกันน่ะ
เห็นไหมว่าเขาทะเลาะกันน่ะมีบ้างหรือเปล่า เวลาก่อนที่จะแต่งงานกัน
เลือกแล้วเลือกอีก สวยหรือไม่สวย ดีหรือไม่ดี เลือกกันจ้ำจี้จ้ำไช
เลือกน้อยเลือกใหญ่ สืบสาวราวเรื่อง สืบตระกูลกันไม่หวัดไม่ไหว พอแต่งงานกันไม่เท่าไหร ทะเลาะกันซะแล้ว ไอ้ความทุกข์ทั้งหลายอย่างอื่นมันก็ติดตามเข้ามา นี่ความสวยความสง่าผ่าเผยที่ต้องการในลำดับแรก
ในที่สุดความเศร้าหมองมันเกิด ทรุดโทรมลงไปทุกวันๆ
ดูคนที่เขาแต่งงาน ผ่านระยะเวลาประมาณ ๒๐ ปี แล้วไปขอดูรูปถ่าย ที่เขาถ่ายเมื่อวันแต่งงานน่ะ มันคล้ายคลึงกันไหม
ดีไม่ดีเราอาจจะจำไม่ได้ คิดว่าผีหลอกก็ได้
มันทรุดโทรมขนาดนั้น มีลูกมีเต้าออกมา มันมีความสุขหรือความทุกข์ แบกภาระเรื่องการเลี้ยงลูกอย่างหนัก ในที่สุดต่างคนต่างตาย และร่างกายของคนที่เรารัก มันสกปรกหรือว่ามันสะอาด
ตอนนี้เราต้องรักจิตของเรา เรียกว่าเรารักตัวเรา คือจิตคิดว่าอารมณ์อย่างนี้ อาการอย่างนี้ มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ เราแสวงหาความสุข ทำไมจึงจะก้าวเข้าไปสู่ในกฏของกามคุณ มันดึงชาวบ้านให้เขาทุกข์ยากลำบาก ต้องพลัดพรากจากกัน ปิยโต ชายเต โสโก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า ความเศร้าโศกเสียใจเกิดจากความรัก พอพลัดพรากจากกันตามกฏของธรรมดาเท่านั้นแหละ ร้องไห้กันงอแง ทำไมจึงไม่คิด ว่าคนเราเกิดมาแล้วมันต้องตาย ญาติผู้ใหญ่คนอื่นเขาตายให้ดู ทำไมจึงไม่มอง ไปคิดว่าไอ้คนที่เรารัก ของที่เรารัก มันจะอยู่กับเราตลอดกาลตลอดสมัย พอจากกันหน่อยตามกฏธรรมดาก็ร้องไห้ อันนี้น่าสังเวชจิต
นี่เราใช้เมตตา คืออารมณ์แห่งความคิดรักตัวเอง ว่าจงอย่าก้าวเข้าไปหาความทุกข์ประเภทนั้นเลย จงใช้ อสุภกรรมฐาน กับ กายคตานุสสติกรรมฐาน เข้ามาพิจารณา แล้วก็จับ มรณานุสสติกรรมฐาน คืิอความตายเข้ามาร่วมด้วยช่วยคิด ว่าไอ้สิ่งสกปรกของร่างกายเราก็ดี ร่างกายเขาก็ดี เมื่อมันอยู่ประคองกันอยู่ตลอดกาลตลอดสมัยไปได้หรือเปล่า หรือว่ามันตายในวันสุดท้าย ก็ปรากฏว่ามันตาย ถ้ามันตายจากกันจะไปสร้างความลำบาก อยู่คนเดียวไม่ดีกว่าหรือ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เอกายโน อยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา ซึ่งแปลเป็นใจความตามเนื้อความว่า ทางของบุคคลผู้เดียวจัดว่าเป็นทางเอก เป็นทางนำมาซึ่งความบริสุทธิ์ผุดผ่อง
นี่หมายความว่า แค่ตัวเราคนเดียวเท่านั้นมันก็ทุกข์ พระพุทธเจ้ายังแย้งเข้ามาอีกว่าไอ้ร่างกายของเราที่เราเรียกว่ามันเป็นเราเป็นของเรานี่ มันก็ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา นี่เราไม่ต้องการเขา แล้วก็เลยไม่ต้องการเราเสียด้วย คำว่าเราในที่นี้คือร่างกาย เราจริงๆ ไม่ใช่กาย กายเป็นเรือนร่างที่อาศัยชั่วคราว เราคือ อทิสสมานกาย หรือที่เรียกกันว่า จิต เข้ามาสิงสถิตย์อยู่ในกาย ใช้กายเป็นที่อยู่ ใช้กายเป็นแดนอาศัย จะทำอะไรจะพูดก็ใช้กายพูด จะทำใช้กายทำ เราจริงๆ ไม่ใช่กาย แต่คือจิต ที่มีความรู้สึกนึกคิดอะไรต่ออะไรต่างๆ นั้นคือเรา
แล้วก็มองดูร่างกายว่ามันเป็นเราเป็นของเราไหม มองเห็นไม่ยาก ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ร่างกายมันเป็นธาตุ ๔ คือตัณหาสร้างขึ้น อาศัยธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ มีอากาศธาตุ และวิญญาณธาตุ คำว่าวิญญาณธาตุที่เราเรียกกันว่า ประสาท คือ ความรู้สึก แล้วจิตก็ใช้ทำงานต่างๆ เกิดขึ้นมาแล้วมันก็ทรุดโทรมลงไปทุกวัน มีโรคภัยไข้เจ็บรบกวน มีความหิวความกระหายตลอดเวลา ไม่ช้ามันก็ตาย ถ้ามันเป็นเราจริงเป็นของเราจริงมันจะตายได้ยังไง
เป็นอันว่าปลงใจเสียว่าร่างกายของเราก็สกปรก มันทรุดโทรมทุกวัน มันเป็นของไม่ดี กายนี้เราไม่ต้องการมันอีก และกายคนอื่นเราก็ไม่ต้องการ วัตถุธาตุใดๆ ที่จะเป็นสมบัติต่อไปในเบื้องหน้าไม่มีสำหรับเรา คือชาติหน้า ชาตินี้ต้องมี มันต้องกินต้องใช้ ถ้าตายจากชาตินี้เมื่อไร ก็เลิกกัน ถ้าคิดอย่างนี้มันก็เลยเป็นพระอรหันต์กันไปเลย พระอรหันต์เขาคิดแค่นี้ แต่ตอนนี้เราเอาแค่ตัด กามฉันทะ กันก่อน
ย้อนกล่าวถึงกามฉันทะของพระอนาคามี คือระงับกามฉันทะได้ ตัวนี้ไม่ระงับนะ ตัดขาดไปเลย ความรู้สึกในเพศไม่มี เจอะหน้าคนที่เราเคยรัก ลักษณะอย่างนี้เราเคยรัก เจอะสีสันวรรณะที่สวยสดงดงาม ที่เราเคยชอบ ฟังเสียงที่เราเคยหลง ดมกลิ่นที่เราเคยปรารถนา แตะรสที่เราต้องการว่าอร่อยเหลือเกิน สัมผัสระหว่างเพศที่เราต้องการ อาการอย่างนี้ไม่ปรากฏในจิต มีความรู้สึกอยู่ว่ารูปก็ดี รูปสวยมันโกหก เดี๋ยวมันก็พัง เสียงเพราะมันโกหก ไอ้เสียงเพราะๆ นี่ไม่แน่หรอก วันนี้เราได้ฟังเสียงหวานๆ ชื่นใจ ประโลมใจ พูดจาดี สละสลวยช่วยให้มีความสุข แต่ดีไม่ดีประเดี๋ยวแกก็ด่าส่ง จะไปสนใจอะไรกับเสียง
ไอ้กลิ่นก็เหมือนกัน กระทบจมูกแล้วก็หายไป อย่างรสนี่สัมผัสปลายลิ้นกับกลางลิ้น มีความรู้สึกถึงโคนลิ้นก็หายไป การสัมผัสร่างกายซึ่งกันและกัน ทุกสิ่งทั้ง ๕ ประการ ไม่ได้สร้างความสุข ไม่ได้สร้างความทรงตัว เราได้มาทั้งหมดเราก็แก่ไปทุกวัน มันไม่ได้ห้ามความแก่ เราได้มันมาทั้งหมดเราก็มีการป่วยไข้ มีความทุกข์ มีความเหน็ดเหนื่อย ไม่ได้ช่วยให้เราหายเหนื่อย เราได้มันมาแล้วเราก็ตาย ไปคบมันทำไม เลิก พูดกันอย่างย่อๆ
ต่อนี้ไปก็ว่ากันถึง ปฏิฆะ คือความกระทบกระทั่งอารมณ์ ความจริงท่านที่ทรงพรหมวิหาร ๔ เป็นพระอนาคามีง่าย บุคคลใดมีความชำนาญในพรหมวิหาร ๔ ทรงพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ คนนั้นควรจะเริ่มต้นเป็นพระอริยเจ้าด้วยพระอนาคามี พรหมวิหาร ๔ นี่มีคุณประเสริฐมาก
ปฏิฆะ คือการที่ไม่ชอบใจ อารมณ์ที่มันไม่ชอบใจที่มันเกิดขึ้นกับเรา เราก็มานั่งคิดว่าทำไมเราถึงไม่ชอบใจวาจาที่เขากล่าว จริยาที่เขาแสดงออก มันมีเหตุมีผลอะไร และมันดีไหมการแสดงความชอบใจไม่ชอบใจนี่มันดีหรือมันชั่ว ถ้าไม่ชอบใจเล็กมันก็บ้าเล็ก ไม่ชอบใจใหญ่มันก็บ้าใหญ่ คือว่าไม่ชอบใจเล็กจิตมันโกรธ อารมณ์ขุ่น หน้ามันชักนิ่วผิวไม่สวย อาการที่แสดงออกก็ไม่งาม นี่เริ่มบ้าเล็ก ถ้าไม่ชอบใจใหญ่ มันทนไม่ไหว ปากด่ามือตี นี่เป็นอันว่าบ้าใหญ่ คือไม่ชอบใจใหญ่
และอารมณ์ที่ไม่ชอบใจมันเป็นปัจจัยของความสุขหรือความทุกข์ นั่งนึก อารมณ์ที่ไม่ชอบใจนี่มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ ไม่ใช่ความสุข ทุกข์ตรงไหนล่ะ ถ้าโกรธเขาขึ้นมาแล้วกินไม่ได้นอนไม่หลับ คิดไว้เสมอว่า เมื่อไรกูจะฆ่ามึงให้ได้หนอ เมื่อไรเราจะทำร้ายมันให้ได้ เมื่อไรจะแกล้งให้มันฉิบหายเสียให้ได้ นั่งคิดนอนคิด คิดมากเท่าไร อารมณ์ฟุ้งซ่าน ใจก็ไม่เป็นสุข มีแต่ความเร่าร้อน นอนก็เลยไม่หลับ เมื่อนอนไม่หลับ มันก็กินไม่ได้ แล้วใครตายก่อนล่ะ คนที่ถูกโกรธตายก่อน หรือว่าคนที่โกรธตายก่อน ถ้าบังเอิญคนที่เขาถูกโกรธเขายังไม่รู้ เขานอนหลับสบาย กินได้นอนหลับจิตเป็นสุข เราก็มีแต่อารมณ์กระสับกระส่าย หาความสบายไม่ได้ มีแต่ความเร่าร้อน เมื่อนอนไม่หลับกินไม่ได้ ร่างกายมันก็ทรุดโทรมผ่ายผอมลงไปทุกวัน ประสาทก็เริ่มมีอาการเสื่อม จิตมีกำลังใช้มากเกินไป ประสาททนไม่ไหว ในที่สุดก็โทรม โทรมแล้วก็ตาย มีประโยชน์ไหม
ถ้าสมมุติว่าเราจะฆ่าเขาได้นี่ เราจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ คนที่ทำให้เราไม่ชอบใจ ฆ่ามันเสียเลย ไม่เอาไว้เฉพาะหน้า ขืนอยู่ร่วมโลกกันไม่มีความสุข ถ้าเราฆ่าได้โดยสะดวก เขาไม่ต่อสู้ ก็ลองนึกถอยหลังมาว่ามันจะสุขหรือมันจะทุกข์ เพราะคนในโลกนี้ไม่มีแต่เขากับเราสองคน มันมีคนอื่นอยู่ด้วย ถ้าเราไปฆ่าเขาตาย ญาติพี่น้องของเขา เพื่อนที่รักของเขา ก็จะสร้างความแค้นเคืองให้เกิดขึ้นกับเรา ทีนี้เราก็ต้องคอยหลบคอยระวัง เกรงว่าเขาจะมาแก้มือ หรือมิฉะนั้นคนที่รับอาสาแก้มือที่มีความสำคัญก็คือเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะต้องจับเราไปขัีงหาว่าเป็นอาชญากร หมดอิสรภาพ หมดความสุข และต่อไปเจ้าหน้าที่ฝ่ายตุลาการ คือศาล ก็ตัดสินเข้าคุกเข้าตะราง หรือถูกประหารชีวิต
นี่อาการที่เราโกรธแต่ทำได้ตามความประสงค์ของเรา มันก็เป็นความทุกข์ เราจะนั่งโกรธทำอะไรกันล่ะ ก็คนที่เขาทำไม่ดีเพราะทางกาย พูดไม่ดีเพราะทางวาจา ก็คนผู้นั้นมันคนบ้า เราก็นั่งคิดว่า ไอ้พวกคนบ้านี่จะไปถือมันทำไม โบราณท่านบอกว่า อย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมา เขาบ้าอะไร บ้าอำนาจวาสนา อยากจะเป็นคนเก่ง บ้าความอิจฉาริษยาคนอื่น อยากจะดีแต่ผู้เดียว ก็รวมความว่าบ้าทำลายความสุข คือทำลายความเป็นมิตร คนประเภทนี้ปัญญาไม่มีจะคิด มีแต่อารมณ์บ้าเข้าครองใจ ไอ้คนบ้าประเภทนี้ มันไม่มีความสุข มันมีแต่ความทุกข์ตลอดกาลตลอดสมัย ทำำไมเราจะต้องบ้าตาม
ตอนนี้ต้องหันมาเมตตาตัวเราเองก่อนว่า โอหนอ คนนี้ช่างโง่เหลือเกิน เขาไม่น่าจะทำลายความเป็นมิตรของเรา ถ้าเขาเป็นมิตรกับเราเขายังมีความสุข เขาจะไม่มีอะไรมาเป็นเครื่องทุกข์ เพราะเราไม่ได้เป็นศัตรู การที่เขาประกาศเป็นศัตรูกับเรานี่ เขาตัดความสุขกับคนไปพวกหนึ่ง ไ่ม่ใช่เฉพาะเรา เพราะพรรคพวกของเราอีกหลายคน ที่ต้องเกลียดเขา เป็นศัตรูกับเขา แล้วถ้าเราไปโกรธกับเขาด้วย มันจะช่วยให้มีความสุขไหม มันก็ไม่มีความสุข อาการที่เขาแสดงออกด้วยความไม่พอใจ มันสร้างให้เราแก่เร็วลงไปไหม ถ้าเราอ้วนอยู่มันทำให้ผอมหรือเปล่า เราเป็นคนร่างกายแข็งแรง ทำให้เราป่วยหรือเปล่า ถ้าเราไม่รับเสียอย่างเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรมาถึงเรา เรานอนเป็นสุข แกอยากจะด่าบ้าไปคนเดียว แกก็ด่าไปคนเดียว มันบ้านี่ ยิ่งนินทาว่าร้ายเขามากเท่าไร ชาวบ้านเขาก็เกลียดมากเท่านั้น เราก็เฉยเสีย
ต้องดูตัวอย่าง พระพุทธเจ้า ใครว่าอะไรท่านก็เฉย ตัวเฉยตัวนี้แสดงว่าพรหมวิหาร ๔ ตัวสุดท้ายเรานำมาใช้ เรานึกเมตตาว่าคนนี้ไม่ควรจะสร้างศัตรู สงสารคิดว่าถ้าเขาเป็นมิตรกับเรา เขาจะมีความสุข นี่เขาต้องมีความทุกข์ เพราะประกาศตนเป็นศัตรูกับเรา ใช้ข้อท้าย อุเบกขา เข้ามาระงับกับอารมณ์ของใจ ว่าใครเขาจะบ้ายังไงก็ช่างเขา เราจะไม่ดี เราจะไม่ชั่วเพราะคนรักหรือคนเกลียด เราจะดีหรือจะชั่ว จะมีความสุขหรือความทุกข์ ที่อาศัยความสงบของจิต คือไม่รับทั้งชั่ว ไม่รับทั้งดี คือว่าไม่รับทั้งคำสรรเสริญและนินทาเป็นสำคัญ เราจะขอยึดคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา คืออุเบกขา ความวางเฉย ทำใจให้เป็นสุข นึกสนุกว่า
โอหนอ โลกนี้ยังมีคนบ้าอยู่มาก ถ้าหากว่าเราบ้าตามเขาเมื่อไร ตายเราก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ ถ้าทำกำลังใจของเราเป็นสุข ไม่ถือคนบ้า ไม่ว่าคนเมา ช่างเขา เขาอยากจะตกนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เ็ป็นคนที่ใช้การไม่ได้ต่อไปข้างหน้า มันเป็นเรื่องของเขา เราขอเอาความสุข คือยอมจิตสงบไม่ยอมรับนับถือวาจาของคนชั่วประเภทนั้น คิดตามแบบขององค์สมเด็จพระภควันต์ที่ตอบกับพราหมณ์ พราหมณ์ด่าพระพุทธเจ้า หาว่าพระพุทธเจ้่าแพ้เพราะไม่ด่าตอบ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "ฉันคิดว่า คนที่ด่าฉันแล้วฉันด่าตอบ ฉันคิดว่าฉันเลวกว่าคนที่เขาด่าฉัน" นี่เป็นอันว่าคนที่ด่าเรา ว่าเรา ทำให้เราไม่ชอบใจ เขาเลว เราจงอย่าเลวมากกว่าเขา ถ้าเราไม่ยอมรับเสียเพียงใด เขาก็เลวแต่ผู้เดียว
เป็นอันว่าถ้าจิตใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทคิดไว้อย่างนี้ ความเป็นพระอนาคามีก็เกิดขึ้นกับท่าน จะรู้ได้ต่อเมื่อบุคคลใดด่า จิตเรามีความสุขไม่สะทกสะท้านในคำด่า เมื่อเขายังด่ามาก ออกท่ามาก เราจงคิดว่า โอ๊ย ไอ้นี่มันบ้ามากอย่างนี้เราไม่เอาด้วย ไม่ยอมบ้าแล้ว อย่างนี้ชื่อว่าท่านปฏิบัติตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาของสมเด็จพระประทีปแก้ว อาศัยพรหมวิหาร ๔ เป็นพระอนาคามีได้สบาย
ตอนนี้เราต้องรักจิตของเรา เรียกว่าเรารักตัวเรา คือจิตคิดว่าอารมณ์อย่างนี้ อาการอย่างนี้ มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ เราแสวงหาความสุข ทำไมจึงจะก้าวเข้าไปสู่ในกฏของกามคุณ มันดึงชาวบ้านให้เขาทุกข์ยากลำบาก ต้องพลัดพรากจากกัน ปิยโต ชายเต โสโก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า ความเศร้าโศกเสียใจเกิดจากความรัก พอพลัดพรากจากกันตามกฏของธรรมดาเท่านั้นแหละ ร้องไห้กันงอแง ทำไมจึงไม่คิด ว่าคนเราเกิดมาแล้วมันต้องตาย ญาติผู้ใหญ่คนอื่นเขาตายให้ดู ทำไมจึงไม่มอง ไปคิดว่าไอ้คนที่เรารัก ของที่เรารัก มันจะอยู่กับเราตลอดกาลตลอดสมัย พอจากกันหน่อยตามกฏธรรมดาก็ร้องไห้ อันนี้น่าสังเวชจิต
นี่เราใช้เมตตา คืออารมณ์แห่งความคิดรักตัวเอง ว่าจงอย่าก้าวเข้าไปหาความทุกข์ประเภทนั้นเลย จงใช้ อสุภกรรมฐาน กับ กายคตานุสสติกรรมฐาน เข้ามาพิจารณา แล้วก็จับ มรณานุสสติกรรมฐาน คืิอความตายเข้ามาร่วมด้วยช่วยคิด ว่าไอ้สิ่งสกปรกของร่างกายเราก็ดี ร่างกายเขาก็ดี เมื่อมันอยู่ประคองกันอยู่ตลอดกาลตลอดสมัยไปได้หรือเปล่า หรือว่ามันตายในวันสุดท้าย ก็ปรากฏว่ามันตาย ถ้ามันตายจากกันจะไปสร้างความลำบาก อยู่คนเดียวไม่ดีกว่าหรือ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เอกายโน อยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา ซึ่งแปลเป็นใจความตามเนื้อความว่า ทางของบุคคลผู้เดียวจัดว่าเป็นทางเอก เป็นทางนำมาซึ่งความบริสุทธิ์ผุดผ่อง
นี่หมายความว่า แค่ตัวเราคนเดียวเท่านั้นมันก็ทุกข์ พระพุทธเจ้ายังแย้งเข้ามาอีกว่าไอ้ร่างกายของเราที่เราเรียกว่ามันเป็นเราเป็นของเรานี่ มันก็ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา นี่เราไม่ต้องการเขา แล้วก็เลยไม่ต้องการเราเสียด้วย คำว่าเราในที่นี้คือร่างกาย เราจริงๆ ไม่ใช่กาย กายเป็นเรือนร่างที่อาศัยชั่วคราว เราคือ อทิสสมานกาย หรือที่เรียกกันว่า จิต เข้ามาสิงสถิตย์อยู่ในกาย ใช้กายเป็นที่อยู่ ใช้กายเป็นแดนอาศัย จะทำอะไรจะพูดก็ใช้กายพูด จะทำใช้กายทำ เราจริงๆ ไม่ใช่กาย แต่คือจิต ที่มีความรู้สึกนึกคิดอะไรต่ออะไรต่างๆ นั้นคือเรา
แล้วก็มองดูร่างกายว่ามันเป็นเราเป็นของเราไหม มองเห็นไม่ยาก ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ร่างกายมันเป็นธาตุ ๔ คือตัณหาสร้างขึ้น อาศัยธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ มีอากาศธาตุ และวิญญาณธาตุ คำว่าวิญญาณธาตุที่เราเรียกกันว่า ประสาท คือ ความรู้สึก แล้วจิตก็ใช้ทำงานต่างๆ เกิดขึ้นมาแล้วมันก็ทรุดโทรมลงไปทุกวัน มีโรคภัยไข้เจ็บรบกวน มีความหิวความกระหายตลอดเวลา ไม่ช้ามันก็ตาย ถ้ามันเป็นเราจริงเป็นของเราจริงมันจะตายได้ยังไง
เป็นอันว่าปลงใจเสียว่าร่างกายของเราก็สกปรก มันทรุดโทรมทุกวัน มันเป็นของไม่ดี กายนี้เราไม่ต้องการมันอีก และกายคนอื่นเราก็ไม่ต้องการ วัตถุธาตุใดๆ ที่จะเป็นสมบัติต่อไปในเบื้องหน้าไม่มีสำหรับเรา คือชาติหน้า ชาตินี้ต้องมี มันต้องกินต้องใช้ ถ้าตายจากชาตินี้เมื่อไร ก็เลิกกัน ถ้าคิดอย่างนี้มันก็เลยเป็นพระอรหันต์กันไปเลย พระอรหันต์เขาคิดแค่นี้ แต่ตอนนี้เราเอาแค่ตัด กามฉันทะ กันก่อน
ย้อนกล่าวถึงกามฉันทะของพระอนาคามี คือระงับกามฉันทะได้ ตัวนี้ไม่ระงับนะ ตัดขาดไปเลย ความรู้สึกในเพศไม่มี เจอะหน้าคนที่เราเคยรัก ลักษณะอย่างนี้เราเคยรัก เจอะสีสันวรรณะที่สวยสดงดงาม ที่เราเคยชอบ ฟังเสียงที่เราเคยหลง ดมกลิ่นที่เราเคยปรารถนา แตะรสที่เราต้องการว่าอร่อยเหลือเกิน สัมผัสระหว่างเพศที่เราต้องการ อาการอย่างนี้ไม่ปรากฏในจิต มีความรู้สึกอยู่ว่ารูปก็ดี รูปสวยมันโกหก เดี๋ยวมันก็พัง เสียงเพราะมันโกหก ไอ้เสียงเพราะๆ นี่ไม่แน่หรอก วันนี้เราได้ฟังเสียงหวานๆ ชื่นใจ ประโลมใจ พูดจาดี สละสลวยช่วยให้มีความสุข แต่ดีไม่ดีประเดี๋ยวแกก็ด่าส่ง จะไปสนใจอะไรกับเสียง
ไอ้กลิ่นก็เหมือนกัน กระทบจมูกแล้วก็หายไป อย่างรสนี่สัมผัสปลายลิ้นกับกลางลิ้น มีความรู้สึกถึงโคนลิ้นก็หายไป การสัมผัสร่างกายซึ่งกันและกัน ทุกสิ่งทั้ง ๕ ประการ ไม่ได้สร้างความสุข ไม่ได้สร้างความทรงตัว เราได้มาทั้งหมดเราก็แก่ไปทุกวัน มันไม่ได้ห้ามความแก่ เราได้มันมาทั้งหมดเราก็มีการป่วยไข้ มีความทุกข์ มีความเหน็ดเหนื่อย ไม่ได้ช่วยให้เราหายเหนื่อย เราได้มันมาแล้วเราก็ตาย ไปคบมันทำไม เลิก พูดกันอย่างย่อๆ
ต่อนี้ไปก็ว่ากันถึง ปฏิฆะ คือความกระทบกระทั่งอารมณ์ ความจริงท่านที่ทรงพรหมวิหาร ๔ เป็นพระอนาคามีง่าย บุคคลใดมีความชำนาญในพรหมวิหาร ๔ ทรงพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ คนนั้นควรจะเริ่มต้นเป็นพระอริยเจ้าด้วยพระอนาคามี พรหมวิหาร ๔ นี่มีคุณประเสริฐมาก
ปฏิฆะ คือการที่ไม่ชอบใจ อารมณ์ที่มันไม่ชอบใจที่มันเกิดขึ้นกับเรา เราก็มานั่งคิดว่าทำไมเราถึงไม่ชอบใจวาจาที่เขากล่าว จริยาที่เขาแสดงออก มันมีเหตุมีผลอะไร และมันดีไหมการแสดงความชอบใจไม่ชอบใจนี่มันดีหรือมันชั่ว ถ้าไม่ชอบใจเล็กมันก็บ้าเล็ก ไม่ชอบใจใหญ่มันก็บ้าใหญ่ คือว่าไม่ชอบใจเล็กจิตมันโกรธ อารมณ์ขุ่น หน้ามันชักนิ่วผิวไม่สวย อาการที่แสดงออกก็ไม่งาม นี่เริ่มบ้าเล็ก ถ้าไม่ชอบใจใหญ่ มันทนไม่ไหว ปากด่ามือตี นี่เป็นอันว่าบ้าใหญ่ คือไม่ชอบใจใหญ่
และอารมณ์ที่ไม่ชอบใจมันเป็นปัจจัยของความสุขหรือความทุกข์ นั่งนึก อารมณ์ที่ไม่ชอบใจนี่มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ ไม่ใช่ความสุข ทุกข์ตรงไหนล่ะ ถ้าโกรธเขาขึ้นมาแล้วกินไม่ได้นอนไม่หลับ คิดไว้เสมอว่า เมื่อไรกูจะฆ่ามึงให้ได้หนอ เมื่อไรเราจะทำร้ายมันให้ได้ เมื่อไรจะแกล้งให้มันฉิบหายเสียให้ได้ นั่งคิดนอนคิด คิดมากเท่าไร อารมณ์ฟุ้งซ่าน ใจก็ไม่เป็นสุข มีแต่ความเร่าร้อน นอนก็เลยไม่หลับ เมื่อนอนไม่หลับ มันก็กินไม่ได้ แล้วใครตายก่อนล่ะ คนที่ถูกโกรธตายก่อน หรือว่าคนที่โกรธตายก่อน ถ้าบังเอิญคนที่เขาถูกโกรธเขายังไม่รู้ เขานอนหลับสบาย กินได้นอนหลับจิตเป็นสุข เราก็มีแต่อารมณ์กระสับกระส่าย หาความสบายไม่ได้ มีแต่ความเร่าร้อน เมื่อนอนไม่หลับกินไม่ได้ ร่างกายมันก็ทรุดโทรมผ่ายผอมลงไปทุกวัน ประสาทก็เริ่มมีอาการเสื่อม จิตมีกำลังใช้มากเกินไป ประสาททนไม่ไหว ในที่สุดก็โทรม โทรมแล้วก็ตาย มีประโยชน์ไหม
ถ้าสมมุติว่าเราจะฆ่าเขาได้นี่ เราจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ คนที่ทำให้เราไม่ชอบใจ ฆ่ามันเสียเลย ไม่เอาไว้เฉพาะหน้า ขืนอยู่ร่วมโลกกันไม่มีความสุข ถ้าเราฆ่าได้โดยสะดวก เขาไม่ต่อสู้ ก็ลองนึกถอยหลังมาว่ามันจะสุขหรือมันจะทุกข์ เพราะคนในโลกนี้ไม่มีแต่เขากับเราสองคน มันมีคนอื่นอยู่ด้วย ถ้าเราไปฆ่าเขาตาย ญาติพี่น้องของเขา เพื่อนที่รักของเขา ก็จะสร้างความแค้นเคืองให้เกิดขึ้นกับเรา ทีนี้เราก็ต้องคอยหลบคอยระวัง เกรงว่าเขาจะมาแก้มือ หรือมิฉะนั้นคนที่รับอาสาแก้มือที่มีความสำคัญก็คือเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะต้องจับเราไปขัีงหาว่าเป็นอาชญากร หมดอิสรภาพ หมดความสุข และต่อไปเจ้าหน้าที่ฝ่ายตุลาการ คือศาล ก็ตัดสินเข้าคุกเข้าตะราง หรือถูกประหารชีวิต
นี่อาการที่เราโกรธแต่ทำได้ตามความประสงค์ของเรา มันก็เป็นความทุกข์ เราจะนั่งโกรธทำอะไรกันล่ะ ก็คนที่เขาทำไม่ดีเพราะทางกาย พูดไม่ดีเพราะทางวาจา ก็คนผู้นั้นมันคนบ้า เราก็นั่งคิดว่า ไอ้พวกคนบ้านี่จะไปถือมันทำไม โบราณท่านบอกว่า อย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมา เขาบ้าอะไร บ้าอำนาจวาสนา อยากจะเป็นคนเก่ง บ้าความอิจฉาริษยาคนอื่น อยากจะดีแต่ผู้เดียว ก็รวมความว่าบ้าทำลายความสุข คือทำลายความเป็นมิตร คนประเภทนี้ปัญญาไม่มีจะคิด มีแต่อารมณ์บ้าเข้าครองใจ ไอ้คนบ้าประเภทนี้ มันไม่มีความสุข มันมีแต่ความทุกข์ตลอดกาลตลอดสมัย ทำำไมเราจะต้องบ้าตาม
ตอนนี้ต้องหันมาเมตตาตัวเราเองก่อนว่า โอหนอ คนนี้ช่างโง่เหลือเกิน เขาไม่น่าจะทำลายความเป็นมิตรของเรา ถ้าเขาเป็นมิตรกับเราเขายังมีความสุข เขาจะไม่มีอะไรมาเป็นเครื่องทุกข์ เพราะเราไม่ได้เป็นศัตรู การที่เขาประกาศเป็นศัตรูกับเรานี่ เขาตัดความสุขกับคนไปพวกหนึ่ง ไ่ม่ใช่เฉพาะเรา เพราะพรรคพวกของเราอีกหลายคน ที่ต้องเกลียดเขา เป็นศัตรูกับเขา แล้วถ้าเราไปโกรธกับเขาด้วย มันจะช่วยให้มีความสุขไหม มันก็ไม่มีความสุข อาการที่เขาแสดงออกด้วยความไม่พอใจ มันสร้างให้เราแก่เร็วลงไปไหม ถ้าเราอ้วนอยู่มันทำให้ผอมหรือเปล่า เราเป็นคนร่างกายแข็งแรง ทำให้เราป่วยหรือเปล่า ถ้าเราไม่รับเสียอย่างเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรมาถึงเรา เรานอนเป็นสุข แกอยากจะด่าบ้าไปคนเดียว แกก็ด่าไปคนเดียว มันบ้านี่ ยิ่งนินทาว่าร้ายเขามากเท่าไร ชาวบ้านเขาก็เกลียดมากเท่านั้น เราก็เฉยเสีย
ต้องดูตัวอย่าง พระพุทธเจ้า ใครว่าอะไรท่านก็เฉย ตัวเฉยตัวนี้แสดงว่าพรหมวิหาร ๔ ตัวสุดท้ายเรานำมาใช้ เรานึกเมตตาว่าคนนี้ไม่ควรจะสร้างศัตรู สงสารคิดว่าถ้าเขาเป็นมิตรกับเรา เขาจะมีความสุข นี่เขาต้องมีความทุกข์ เพราะประกาศตนเป็นศัตรูกับเรา ใช้ข้อท้าย อุเบกขา เข้ามาระงับกับอารมณ์ของใจ ว่าใครเขาจะบ้ายังไงก็ช่างเขา เราจะไม่ดี เราจะไม่ชั่วเพราะคนรักหรือคนเกลียด เราจะดีหรือจะชั่ว จะมีความสุขหรือความทุกข์ ที่อาศัยความสงบของจิต คือไม่รับทั้งชั่ว ไม่รับทั้งดี คือว่าไม่รับทั้งคำสรรเสริญและนินทาเป็นสำคัญ เราจะขอยึดคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา คืออุเบกขา ความวางเฉย ทำใจให้เป็นสุข นึกสนุกว่า
โอหนอ โลกนี้ยังมีคนบ้าอยู่มาก ถ้าหากว่าเราบ้าตามเขาเมื่อไร ตายเราก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ ถ้าทำกำลังใจของเราเป็นสุข ไม่ถือคนบ้า ไม่ว่าคนเมา ช่างเขา เขาอยากจะตกนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เ็ป็นคนที่ใช้การไม่ได้ต่อไปข้างหน้า มันเป็นเรื่องของเขา เราขอเอาความสุข คือยอมจิตสงบไม่ยอมรับนับถือวาจาของคนชั่วประเภทนั้น คิดตามแบบขององค์สมเด็จพระภควันต์ที่ตอบกับพราหมณ์ พราหมณ์ด่าพระพุทธเจ้า หาว่าพระพุทธเจ้่าแพ้เพราะไม่ด่าตอบ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "ฉันคิดว่า คนที่ด่าฉันแล้วฉันด่าตอบ ฉันคิดว่าฉันเลวกว่าคนที่เขาด่าฉัน" นี่เป็นอันว่าคนที่ด่าเรา ว่าเรา ทำให้เราไม่ชอบใจ เขาเลว เราจงอย่าเลวมากกว่าเขา ถ้าเราไม่ยอมรับเสียเพียงใด เขาก็เลวแต่ผู้เดียว
เป็นอันว่าถ้าจิตใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทคิดไว้อย่างนี้ ความเป็นพระอนาคามีก็เกิดขึ้นกับท่าน จะรู้ได้ต่อเมื่อบุคคลใดด่า จิตเรามีความสุขไม่สะทกสะท้านในคำด่า เมื่อเขายังด่ามาก ออกท่ามาก เราจงคิดว่า โอ๊ย ไอ้นี่มันบ้ามากอย่างนี้เราไม่เอาด้วย ไม่ยอมบ้าแล้ว อย่างนี้ชื่อว่าท่านปฏิบัติตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาของสมเด็จพระประทีปแก้ว อาศัยพรหมวิหาร ๔ เป็นพระอนาคามีได้สบาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น